“ไปกลางวันถูกระเบิด ไปกลางคืนถูกยิง” ชีวิตจริงของเหยื่อพิการคาสวนยางแดนใต้
เหตุรุนแรงในวันครบรอบ 6 ปีตากใบ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2553 ผ่านไปอย่างเงียบเชียบ ทั้งๆ ที่ในวันนั้นพบ “กับระเบิด” ในสวนยางพาราทั่วสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ถึง 26 ลูก หลายชีวิตถูกทำร้ายจนกลายเป็นคนพิการ ต้องเผชิญกับวันเวลาที่เหลืออยู่อย่างสิ้นหวัง
แม้เป้าหมายของคนร้ายจะอยู่ที่สวนยางและสวนผลไม้ของชาวบ้านไทยพุทธ แต่ที่เขาบอกว่า ระเบิดกับกระสุนปืนไม่มีตานั้นเป็นเรื่องจริง เพราะใครที่อยู่ในวิถีทำลายล้างของมัน ไม่ว่าเพศไหน ศาสนาใด ถ้าไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บ
ดังเช่น นางรอปิอะ อาแว หญิงมุสลิมวัย 46 ปี ชาวบ้านหมู่ 2 ต.กะรุบี อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นลูกจ้างกรีดยางในสวนยางของชาวไทยพุทธในท้องที่ ต.กะรุบี พลันที่เกิดเสียงตูมสนั่น ขาของนางก็แหลกเละจนหมอต้องตัดทิ้งทั้ง 2 ข้าง
รอปิอะ ซึ่งนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลปัตตานี เล่าถึงเหตุการณ์ที่ทำให้นางต้องฝันร้ายไปตลอดชีวิตว่า ก่อนที่นางจะถูกระเบิด ได้ยินเสียงระเบิดในสวนข้างๆ ของ นายพันธ์ ขุนพรหมยา ทราบว่านายพันธ์ได้รับบาดเจ็บ แต่ตัวนางเองและสามียังคงกรีดยางต่อไป ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น นางก็พลาดเหยียบกับระเบิด
“ตอนที่เหยียบมีไฟกระพริบสีแดงๆ ฉันก็ไม่ทันคิดอะไร จากนั้นก็มีเสียงดังตูม รู้สึกตัวเองกระเด็นออกจากต้นยางและมีดกรีดยางก็หลุดมือไป วินาทีนั้นรู้แล้วว่าตัวเองเหยียบกับระเบิดเช่นเดียวกับลุงพันธ์ ไม่นานนักก็มีชาวบ้านมาช่วยพาส่งโรงพยาบาล แล้วฉันก็ถูกตัดขาทั้งสองข้าง”
ชีวิตของ รอปิอะ ก่อนต้องเสียขา นางเองก็ระทมทุกข์มากพออยู่แล้ว ทั้งจากฐานะทางครอบครัวที่ไม่ค่อยดีนัก และยังมีลูกสาวเป็นใบ้ เมื่อนางต้องมาพิการอย่างกระทันหัน ทำให้สามีคือ ซาการียา สานิ วัย 41 ปี ต้องรับภาระเลี้ยงดูลูกทั้งหมด 5 คน เป็นลูกติดของสามีก่อนจะมาอยู่กินกับนาง 3 คน และลูกที่เกิดกับนางเอง 2 คน โดยหนึ่งในสองคนนั้นเป็นใบ้
“จริงๆ ฉันก็มีสวนยางของตัวเอง แต่มีไม่กี่ไร่ รายได้มันไม่พอกับรายจ่าย จึงคิดว่าจะหางานเสริม พอดีลูกจ้างที่เป็นไทยพุทธของสวนยางนี้เขาลากลับบ้าน 2 เดือน เถ้าแก่จึงให้ฉันมาช่วยกรีดแทน ก่อนจะเกิดเหตุเพิ่งกรีดได้ 3 วันเอง พอรู้ว่าลุงพันธ์ที่อยู่สวนข้างๆ ถูกระเบิด ก็ว่าจะหยุดกรีด แต่ช่วงก่อนหน้านั้นขี้ยางในถ้วยถูกขโมย ทำให้รู้สึกเสียดาย และคิดว่าถ้าไม่กรีดต่อแล้วฝนตกจะทำอย่างไร ก็เลยกรีดเพิ่มอีกสัก 10 แถว และก็โดนระเบิดเข้ากับตัวเอง”
จากคนที่เคยมีร่างกายสมบูรณ์ครบ 32 ต้องกลายเป็นคนพิการ รอปิอะ บอกว่านางต้องพยายามทำใจ
“สภาพของตัวเองที่ต้องถูกตัดขาบอกได้เลยว่าทำใจลำบาก แม้จะพยายามทำใจได้บ้างแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่คิดว่าจะกลับไปกรีดยางอีก ถ้าไม่ได้ทำงานสามีคงลำบากมาก เพราะเรามีภาระเยอะ ตอนนี้อยากให้ลูกสาวที่เป็นใบ้ได้ทำงานในโครงการจัดหางานเร่งด่วน เห็นแกบ่นๆ ว่าอยากไปเป็นคนกวาดขยะที่สถานีอนามัยซึ่งอยู่ใกล้บ้าน จึงอยากขอร้องให้ทางผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ช่วยให้ลูกสาวได้ทำงานด้วย จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระในครอบครัว”
ด้าน น.ส.ยูไนนะ อาแว อายุ 22 ปี ลูกสาวของรอปิอะซึ่งเป็นใบ้มาแต่กำเนิด เล่าด้วยภาษามือว่า อยากทำงานช่วยแม่ ไม่อยากให้แม่ทำงานอีกแล้ว เห็นแม่เจ็บก็รู้สึกเสียใจ แต่ช่วยอะไรแม่ไม่ได้เลย ถ้าได้ทำงานหาเงินมาดูแลแม่ก็คงดี อยากขอร้องให้ทางจังหวัดช่วยเธอด้วย
ขณะที่ นางแต๋ว ขุนพรหมยา วัย 46 ปี ภรรยาของลุงพันธ์ เจ้าของสวนยางข้างๆ สวนที่รอปิอะไปรับจ้างกรีดยาง เล่าถึงอนาคตของครอบครัวหลังจากลุงพันธ์ถูกระเบิดจนขาขาดว่า ยังไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน เบื้องต้นก็อยากให้ทางราชการช่วยลูกๆ ทั้ง 3 คนให้ได้มีงานทำ ส่วนเรื่องอื่นยังไม่รู้เลยจริงๆ คิดอะไรไม่ออก
“จริงๆ ฉันมีสวนยางอีก 2-3 สวนบนภูเขา แต่ไม่กล้าไปตัด เพราะอันตราย ตอนนี้คนที่มีกำลังทรัพย์เริ่มออกจากพื้นที่กันแล้ว ออกไปทำงานบ้าง ไปซื้อสวนยางที่อื่นบ้าง เมื่อก่อนในหมู่บ้านมีครอบครัวไทยพุทธ 34 ครอบครัว ตอนนี้เหลือแค่ 20 กว่าครอบครัว ที่สำคัญหลังเกิดเหตุกับพี่พันธ์ เพื่อนบ้านทุกคนไม่มีใครกล้าออกไปกรีดยางเลย เนื่องจากเจ้าหน้าที่ยังพบระเบิดในสวนใกล้ๆ กันอีกหลายลูก แต่โชคดีที่ไม่ระเบิด”
ส่วนลุงพันธ์ ซึ่งยังต้องนอนบนเตียงคนไข้ บอกว่า กรีดยางมา 20 กว่าปีในส่วนยางแห่งนี้ ไม่เคยมีศัตรูที่ไหนเลย เพื่อนบ้านก็อยู่กันเหมือนพี่น้อง ทั้งพุทธทั้งอิสลาม เราอยู่กันอย่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เวลามีคนแปลกหน้าหรือสิ่งผิดปกติในหมู่บ้าน เพื่อนบ้านที่เป็นอิสลามก็จะมาเตือนมาบอก ฉะนั้นเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นต้องเป็นฝีมือของคนนอกพื้นที่อย่างแน่นอน
“ตอนนี้ลุงรับได้แล้วกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คิดว่าคนที่เป็นหนักกว่าเรายังมีอีกมาก เราโดนแค่นี้ถือว่ายังสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ รอปิอะโดนตัดขาสองข้างเขายังสู้ ทำไมเราจะไม่สู้ หลังจากนี้ขอกลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อนค่อยคิดว่าจะเอาอย่างไรต่อ แต่จะอย่างไรก็ต้องสู้เพื่อครอบครัว"
อีกรายที่ต้องประสบเคราะห์กรรมไม่แพ้กัน คือ นายป่วน น้อยเงิน วัย 73 ปี เจ้าของสวนลองกองที่บ้านปาลุกาสาเมาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ตาป่วนเหยียบกับระเบิดขณะเดินตรวจสวนลองกอง หลังเกิดเหตุเพื่อนบ้านช่วยกันนำส่งโรงพยาบาลกะพ้อ แต่คนเจ็บเต็มโรงพยาบาลจนไม่เหลือเตียง แพทย์ต้องส่งต่อไปยังโรงพยาบาลปัตตานี
“ไม่รู้จะโทษใคร คงต้องโทษดวงของเราเอง หลายปีที่ผ่านมามีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นก็จริง แต่เกิดนอกพื้นที่บ้านเรา ตาก็รู้สึกว่าไกลตัว เพราะไม่เคยเกิดในหมู่บ้าน แต่นี่มาโดนเข้ากับตัวเอง ไม่ต้องออกไปข้างนอก อยู่ในบ้านในสวนของเราเองยังโดน”
นางพิมพ์พันธ์ จันทร์เต็ม อายุ 49 ปี ลูกสาวคนโตของลุงป่วน กล่าวอย่างอัดอั้นว่า ไม่รู้คนร้ายต้องการอะไร เพราะพ่อไม่เคยทำร้ายใคร วันๆ อยู่แต่ในสวน ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาเกิดเรื่องแบบนี้กับพ่อ ทำไมต้องทำคนแก่ด้วย
“ฉันอยากให้เหตุการณ์ในพื้นที่สงบลงเสียที อยากให้กรณีของพ่อเป็นกรณีสุดท้าย ไม่อยากให้มีการสูญเสียเกิดขึ้นอีกแล้ว รัฐบาลจะทำอย่างไรก็ได้ขอให้สงบเร็วๆ อย่าปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไปอีกเลย เพราะแต่ละปีแต่ละวันมีคนตกเป็นเหยื่อ ไม่ตายก็พิการตลอด ความรุนแรงมันควรจะจบลงได้แล้ว”
ด้าน นายอนุศาสน์ สุวรรณมงคล สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ซึ่งลงพื้นที่เยี่ยมเยียนเหยื่อกับระเบิดในสวนยาง กล่าวว่า กำลังใจคือยาบรรเทาความเจ็บปวดที่ดีที่สุด เพราะผู้เคราะห์ร้ายทุกรายต่างขาดความมั่นใจในการดำเนินชีวิต และเสียขวัญกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาก
“ผมคิดว่าคนที่ก่อเหตุเป็นคนที่ไร้มนุษยธรรมอย่างยิ่ง เพราะไปวางระเบิดในสวนยางพารา สวนปาล์ม สวนผลไม้ โดยไม่ได้คิดถึงชีวิตผู้คน และทำลายคนทำมาหากินจนต้องพิการ ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายต้องมาร่วมมือกันทบทวนมาตรการรักษาความปลอดภัย และหาแนวทางให้ชาวบ้านประกอบอาชีพได้อย่างปกติสุขและปลอดภัยโดยเร็วที่สุด เพราะตั้งแต่เกิดเหตุเมื่อวันที่ 25 ต.ค. จนถึงวันนี้ยังไม่มีใครกล้าออกไปกรีดยาง ส่งผลกระทบทั้งครอบครัวของผู้เคราะห์ร้ายเอง และระบบเศรษฐกิจชุมชนในพื้นที่ด้วย”
“ผมได้คุยกับลุงคนหนึ่งที่ อ.รามัน (จ.ยะลา) แกเป็นคนสิงห์บุรี อายุ 70 ปี แล้ว เพิ่งลงมาช่วยลูกสาวกรีดยางได้แค่ 2 เดือน ก็มาถูกระเบิดขาขาด ลุงแกบอกว่าไม่รู้จะทำอย่างไร ไปสวนตอนกลางวันก็โดนระเบิด ไปกลางคืนก็โดนซุ่มยิง แต่ถ้าไม่ไปก็อดตาย เพราะไม่มีอะไรกินถ้าไม่ทำงาน เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ ผมอยากขอร้องให้ทุกภาคส่วนในสังคมประณามการกระทำของคนร้าย เพราะถือว่าโหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรม และฝ่ายความมั่นคงต้องเร่งหามาตรการป้องกันเพื่อยุติเหตุร้ายลักษณะนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด” ส.ว.อนุศาสน์ กล่าว
นี่คือเรื่องราวรันทดที่เกิดขึ้นจริงในแผ่นดินใต้สุดแดนสยาม!
-------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 รอปิอะกับลูกสาว ในวันที่ต้องสูญเสียขาทั้งสองข้าง
2 ลุงพันธ์...ขาขาดแต่ใจยังสู้
3 ตาป่วน ต้องกลายเป็นคนพิการในวัย 73 ปี