บันทึก 60 นาทีที่บ้านบาโง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์คนร้ายบุกยิงครูเสียชีวิตคาโรงอาหารในโรงเรียนบ้านบาโง ต.ปานัน อ.มายอ จ.ปัตตานี โดยหนึ่งในนั้นเป็นครูผู้หญิงระดับผู้อำนวยการโรงเรียน เมื่อวันอังคารที่ 11 ธ.ค.2555 จะถูกบันทึกเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของความรุนแรงและความสูญเสียในสถานการณ์ไฟใต้รอบใหม่ที่ปะทุขึ้นมาเกือบ 1 ทศวรรษ
และจะเป็นเหตุการณ์ที่ถูกพูดถึงไปอีกนานในแง่ของปฏิบัติการอันโหดร้าย ไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์กราดยิงร้านน้ำชาที่บ้านบาดามูเวาะห์ ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ในช่วงเช้าวันเดียวกัน หรือการบุกยิงถึงในมัสยิดไอร์ปาแย ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อ 8 มิ.ย.2552
การสูญเสียครู...โดยเฉพาะครูไทยพุทธ ทั้งๆ ที่ครูเพิ่งถูกยิงไป 3 รายในช่วงก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วัน พร้อมๆ กับการประกาศปรับมาตรการรักษาความปลอดภัยครู (รปภ.ครู) ทุกครั้งที่เกิดความสูญเสีย ทำให้หน่วยงานความมั่นคงที่รับผิดชอบภารกิจ รปภ.ครู ถูกตั้งคำถามอย่างหนัก
หลังเกิดเหตุการณ์สังหารครูติดๆ กันหลายราย ผมได้มีโอกาสเดินทางลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้อีกครั้ง และได้แวะเวียนไปสังเกตการณ์ที่โรงเรียนบ้านบาโงด้วย เมื่อช่วงเช้าของวันพฤหัสบดีที่ 13 ธ.ค. หลังเกิดเหตุเพียงแค่ 2 วัน แม้การเข้าไปสัมผัสพื้นที่เกิดเหตุจะเป็นห้วงเวลาเพียงสั้นๆ เพียง 1 ชั่วโมง แต่ผมก็ได้พบกับอะไรหลายอย่างนอกเหนือจากข่าวสารที่ปรากฏผ่านสื่อ ซึ่งสมควรนำมาบันทึกไว้
ผมขับรถออกจากตัวเมืองปัตตานีมุ่งหน้าไปทาง อ.ยะรัง โดยใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 410 ถนนสายอันตรายที่น่าจะมีเหตุร้ายบ่อยครั้งที่สุดในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดเส้นทางผ่านจุดตรวจของทหารหลายแห่ง เมื่อถึงตัวอำเภอยะรังก็เลี้ยวซ้ายที่แยกวีระวงศ์ซึ่งมีร้านจำหน่ายลูกหยีชื่อดัง
ถนนสายนี้แยกจากสาย 410 ลัดเลาะไป อ.มายอ ได้ แต่ปลายทางของผมอยู่ก่อนถึงตัวอำเภอ เพราะ ต.ปานัน ที่ตั้งของโรงเรียน เป็นตำบลรอยต่อกับ อ.ยะรัง
เมื่อเลี้ยวมาบนถนนสายรองนี้ เริ่มไม่ค่อยเห็นเจ้าหน้าที่ทหาร ผมเห็นทหารกลุ่มสุดท้ายยืนกันอยู่บริเวณหัวถนนในลักษณะเฝ้าระวัง สายตาสอดส่ายตรวจตรารถราที่ผ่านไปมา จากนั้นก็ไม่เห็นอีกเลย สองข้างทางเป็นบ้านคนสลับกับสวนยางพาราและป่าละเมาะ
ไม่กี่นาทีรถก็แล่นถึงแยกม่วงหวาน ผมเลี้ยวขวาเข้าถนนลาดยางสายเล็กๆ มุ่งหน้าสู่ ต.ปานัน ถนนสายนี้เล็กกว่าถนนสายรองที่ผ่านมาเมื่อสักครู่ และยังเต็มไปด้วยหลุมบ่อ แต่น้องที่ไปด้วยกันและเป็นคนนำทางบอกว่าแม้จะเป็นถนนสายเล็ก แต่ทะลุไปได้หลายอำเภอ เหมาะสำหรับการก่อเหตุและหลบหนี...
เลี้ยวรถเข้ามาไม่กี่สิบเมตร ผมเจอด่านชะลอรถที่ไม่มีกำลังพลหน่วยไหนประจำอยู่ ผ่านด่านไปก็เจอแต่หลุมบ่อจนไม่สามารถใช้ความเร็วได้ หน้ารถของผมเป็นรถสิบล้อขนาดใหญ่ และขณะที่ขับไปก็ยังมีรถสิบล้อสวนออกมาอีกหลายคัน เข้าใจว่าข้างในน่าจะมีการก่อสร้างอะไรสักอย่าง แต่ถามใครก็ไม่มีใครรู้ บอกแต่เพียงว่ารถบรรทุกชอบใช้ถนนสายนี้เพราะทะลุไปได้หลายอำเภอ
ผ่านมาอีกไม่กี่อึดใจก็เจอทางสองแพร่ง โค้งขวาไปโรงเรียนบ้านปานัน ส่วนโค้งซ้ายไปโรงเรียนบ้านบาโง ผมหมุนพวงมาลัยไปทางซ้าย ถนนยิ่งมีแต่หลุมบ่อมากขึ้น มีสะพานข้ามแอ่งน้ำเล็กๆ 1 สะพานซึ่งคอสะพานขรุขระจนต้องค่อยๆ เคลื่อนรถไต่ข้ามไป
ผ่านสะพานไปได้ก็จะเจอด่านชะลอรถที่ไม่มีใครเฝ้าเลยอีก 1 ด่าน แล้วก็ถึงหน้าโรงเรียนบ้านบาโง ประตูโรงเรียนอยู่ทางขวามือ ผมจอดรถเลยรั้วโรงเรียนออกไปเล็กน้อย ซึ่งทั้งสองฝั่งเป็นบ้านของชาวบ้าน
จังหวะนั้นมีรถปิคอัพของปลัดอำเภอ ซึ่งมี อส.(อาสารักษาดินแดน) ถือปืนมาเต็มหลังกระบะจอดพรืดที่หน้าป้ายชื่อโรงเรียน จากนั้นคนทั้งหมดก็ลงจากรถเดินเข้าไปในโรงเรียน เหมือนเตรียมการจะทำอะไรสักอย่าง เมื่อเดินเข้าไปสอบถามดูจึงทราบว่า ทางอำเภอมาเตรียมสถานที่สำหรับให้ชาวบ้านร่วมกันละหมาดฮายัตขอพรให้พื้นที่นี้เกิดสันติสุข
โรงเรียนบ้านบาโงเป็นโรงเรียนเล็กๆ มีอาคารเรียน 2 อาคาร เป็นอาคารเก่าชั้นเดียว กับอาคารใหม่กว่าสูง 2 ชั้น ด้านหน้าโรงเรียนมีเพียงรั้วเตี้ยๆ และประตูเหล็กโปร่งบางๆ สูงแค่เอวและน่าจะพังแล้ว เพราะถูกนำไปพิงไว้กับรั้ว สรุปจากสายตาคือโรงเรียนนี้ไม่มีประตู!
ถัดจากประตูเข้ามา เดินไม่ถึง 10 ก้าวก็ถึงโรงอาหารที่คนร้ายบุกเข้าไปยิงครู ที่ตั้งของโรงอาหารผิดกับมโนภาพที่ผมนึกเอาไว้จากที่ได้อ่านข่าวและยังไม่ได้เห็นของจริง จะบอกว่าโรงอาหารอยู่หน้าโรงเรียนเลยก็คงได้ เพราะอาคารเรียนเก่าอยู่ถัดจากโรงอาหารเข้าไป หน้าอาคารเป็นสนาม อีกด้านของสนามเป็นอาคารใหม่ พื้นที่ของโรงเรียนมีแค่นี้เอง...
การใช้คำว่า "คนร้ายบุกเข้าไปยิงถึงในโรงเรียน" แม้จะถูกต้อง แต่กับสภาพจริงที่เห็นก็ดูจะไม่ใช่ปฏิบัติการที่ยากเย็นอะไร เพราะหากจอดรถที่หน้าโรงเรียนเหมือนกับปลัดอำเภอ ลงจากรถก็เดินไม่ถึงสิบก้าวก็ยิงได้แล้ว โดยเฉพาะการยิงคนไม่มีทางสู้อย่างครู คนร้ายไม่ต้องพังรั้ว ไม่ต้องปีนข้ามรั้ว ไม่ต้องต่อสู้กับชุดรักษาความปลอดภัยโรงเรียน เพราะโรงเรียนไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย
โรงอาหารที่เป็นจุดเกิดเหตุเป็นอาคารครึ่งปูนครึ่งไม้เล็กๆ พื้นที่ไม่กี่สิบตารางเมตร ผนังเป็นลวดตาข่ายตาสี่เหลี่ยม มองทะลุเห็นด้านในได้ พื้นปูด้วยผ้ายางสีสด ยังมีร่องรอยของเลือดและทรายที่นำไปกลบบังไว้ กลางห้องมีโต๊ะกับเก้าอี้ที่คาดว่าเป็นโต๊ะเก้าอี้ของนักเรียน แต่ดัดแปลงมาวางต่อๆ กันเป็นโต๊ะกินข้าว ปลัดอำเภอชี้ให้ดูจุดที่ครูถูกยิง
ผมเดินวนดูรอบๆ โรงอาหารแล้วก็พลันตกใจ เพราะเห็นสายตาระแวงภัยจากบ้านไม้ที่อยู่ติดกับโรงอาหาร มีรั้วโรงเรียนเล็กๆ คั่นเท่านั้น ผมจึงเดินออกไปทางหน้าโรงเรียนเพื่อสังเกตการณ์อย่างละเอียดอีกครั้ง แล้วก็พบว่าโรงเรียนบ้านบาโงตั้งอยู่ในชุมชนย่อมๆ ไม่ใช่อยู่อย่างโดดเดี่ยวห่างไกล ทั้งด้านที่ติดรั้วโรงเรียนและฝั่งตรงข้ามเต็มไปด้วยบ้านเรือนประชาชน เยื้องๆ โรงเรียนมีบ้านปลูกสร้างใหม่ทาสีส้ม ผมทราบภายหลังว่าเป็นบ้านของภารโรง
ผมเดินแวะเวียนไปบริเวณหน้าบ้านหลายหลัง เจอชาวบ้านหลายคน ทุกคนหันมาทักทาย แต่แสดงท่าทีไม่อยากพูดอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์
สักพักมีเครือญาติของคนในหมู่บ้านซึ่งเป็นอดีตทหาร และทำงานอยู่กับอดีตรองแม่ทัพภาคที่ 4 คนหนึ่งขับรถปิคอัพเข้ามาจอด เมื่อได้คุยกับเขาจึงทราบว่าเหตุใดชาวบ้านจึงมีท่าทีเย็นชา และบรรยากาศตึงเครียดชอบกล...
อดีตทหารรายนี้เล่าว่า หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้ใช้อำนาจตามกฎอัยการศึกควบคุมตัว นายอับดุลรอซะ ดอเลาะ ภารโรงของโรงเรียนบ้านบาโงไปสอบสวน เพราะเชื่อว่าอาจมีส่วนรู้เห็นกับเหตุคนร้ายบุกยิงครู เนื่องจากขณะเกิดเหตุไม่ได้อยู่ในโรงเรียน
แต่การควบคุมตัวนายอับดุลรอซะ ได้กลายเป็นการสร้างกระแสความไม่พอใจให้กับชาวบ้าน เนื่องจากไม่มีใครเชื่อว่าภารโรงรายนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุสังหารครู เพราะที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งโรงเรียนบ้านบาโงก็เป็นที่ดินของครอบครัวนายอับดุลรอซะที่บริจาคให้สร้างโรงเรียน และเจ้าตัวยังปฏิบัติงานเป็นภารโรงของโรงเรียนมานานนับสิบปีแล้ว เขาจึงไม่ใช่แนวร่วมกลุ่มก่อความไม่สงบแน่นอน
อดีตทหารรายนี้ บอกว่า เขาเป็นญาติกับนายอับดุลรอซะที่ถูกจับ ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็ช่วยงานทหารอยู่ด้วย จึงทำหน้าที่เป็นตัวกลางประสานความเข้าใจกับชาวบ้านว่าเรื่องนี้เป็นความเข้าใจผิดกัน ฝ่ายทหารยืนยันมาแล้วว่าเป็นการนำตัวไปสอบปากคำเพื่อรับทราบข้อมูลเท่านั้น ไม่ใช่การจับกุม ขณะที่ตัวเขาเองก็ไปยืนยันกับทหารว่าขณะเกิดเหตุ นายอับดุลรอซะกลับไปรับประทานอาหารกลางวันที่บ้าน ซึ่งเป็นกิจวัตรที่ทำเป็นประจำทุกวัน และเมื่อได้ยินเสียงปืนก็วิ่งออกไปดู แต่ไม่กล้าออกไปช่วย
"ใครจะกล้าไปช่วย วิ่งเข้าไปก็ตาย" อดีตทหารบอก และว่า "แต่พอคนร้ายไปแล้ว ภารโรงก็วิ่งไปช่วยอุ้มครูสมศักดิ์นะ (ครูสมศักดิ์ ขวัญมา ครูชายที่ถูกยิงพร้อมกับผู้อำนวยการโรงเรียน) ตอนแรกครูสมศักดิ์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ภารโรงก็วิ่งไปช่วยอุ้มขึ้นรถเพื่อนำส่งโรงพยาบาล แต่ครูสมศักดิ์สิ้นใจเสียก่อน"
ระหว่างที่ผมยืนคุยกับอดีตทหารรายนี้ มีรถกระบะ 2 คันที่มีทหารจริงนั่งกันมาเต็มแน่นแล่นมาจอด จากนั้นกลุ่มทหารก็เดินเข้าไปตรวจตราในโรงเรียน คนที่เป็นผู้บังคับบัญชาเรียกผู้ใหญ่บ้านมาพูดคุยพร้อมกับปลัดอำเภอ เข้าใจว่าเป็นการมาตรวจสถานที่ก่อนละหมาดฮายัต ไม่นานนักกลุ่มทหารก็ขับรถออกไป
ตลอด 1 ชั่วโมงที่โรงเรียนบ้านบาโง ผมเห็นทหารครั้งเดียว ก็คือทหารกลุ่มนี้ สอบถามข้อมูลจากคนแถวนั้นทราบว่าโรงเรียนบ้านบาโงไม่มีทหารเฝ้า เพราะกำลังทหารไปอยู่ที่โรงเรียนบ้านปานันซึ่งใหญ่กว่า แต่ทหารก็จะส่งกำลังเวียนมาดูแลเป็นระยะ ทว่าคนร้ายเลือกก่อเหตุในช่วงเที่ยง ซึ่งทหารน่าจะไปกินข้าว ทำให้ทางสะดวก
ส่วนด่านตรวจ 2 จุดที่มีทั้งก่อนถึงโรงเรียน และเลยโรงเรียนไปเล็กน้อยนั้น เป็นด่านชะลอรถของ ชรบ. (ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน) ซึ่งคนที่เล่าก็เล่าพร้อมกับอมยิ้มว่า เป็นด่านเปล่าๆ ไม่เคยมีคนอยู่...
ถัดจากนั้นไม่กี่นาที ผมตัดสินใจขึ้นรถกลับ เป็นการกลับโดยใช้เส้นทางเดิม เจอหลุมบ่อใช้ความเร็วไม่ได้เช่นเดิม และไม่เจอทหารสักคนเหมือนเดิม กระทั่งรถแล่นเข้าถึงตัวอำเภอยะรังนั่นแหละ ถึงจะเจอด่านทหาร!