โลกมืดท่ามกลางความรุนแรง...ของย่าแดงกับน้องบ่าว
เลขา เกลี้ยงเกลา
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้มีแค่ปัญหาความไม่สงบที่ทำให้มีผู้คนต้องบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาด้านอื่นๆ เหมือนๆ กับจังหวัดอื่นในประเทศนี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านการศึกษา ความยากจน และคนด้อยโอกาส ที่น่าเศร้าก็คือยิ่งมีสถานการณ์ความรุนแรง ยิ่งเสมือนเป็นการซ้ำเติมปัญหา ทำให้หลายชีวิตต้องหลั่งน้ำตาและทนทุกข์มากขึ้นเป็นทวีคูณ
หลายปีมาแล้วที่ครอบครัวของ "ย่าแดง" หรือ นางบุญเลี้ยง ปานปทุม วัย 85 ปี เหลือกันอยู่เพียง 3 ชีวิต คือลูกชายของนาง 1 คน กับหลานชายอีก 1 คน โดยทั้งหมดต้องทนทุกข์และใช้ชีวิตอย่างลำเค็ญเพราะดวงตาของย่าแดงฝ้าฟางลงทุกวันจนเกือบมองไม่เห็น ส่วน "น้องบ่าว" หรือ เด็กชายสมพล เสาใบ หลานชายวัยแค่ 12 ขวบก็ต้องอยู่ในโลกมืด เพราะตาบอดตั้งแต่เกิด
ขณะที่ลูกชาย สมพร เสาใบ วัย 44 ปี ก็มีอาชีพรับจ้างแบกหามทั่วไป ไม่มีรายได้มากพอที่จะพาแม่ไปรักษา หรือแม้แต่จะพาน้องบ่าวซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวไปหาที่เรียนหนังสือ ทั้งหมดจึงมีชีวิตเพียงให้ผ่านพ้นไปวันๆ ในบ้านเช่าหลังเก่า เลขที่ 95 ถนนวิทูรอุทิศ 10 ต.สะเตง อ.เมือง ในเขตเทศบาลนครยะลา
ย่าแดง เล่าอดีตอันรันทดให้ฟังว่า เดิมเป็นคนจังหวัดนครราชสีมา แต่มาอาศัยอยู่ที่ยะลาตั้งแต่อายุ 20 พร้อมกับสามี โดยมาทำงานรับจ้างทั่วไป แต่ต่อมาสามีไปมีภรรยาคนใหม่ จึงทอดทิ้งนางกับลูกชายเอาไว้เพียงลำพัง แต่นางก็ไม่ท้อ กัดฟันเลี้ยงลูกมาจนเติบโต ทว่าดูเหมือนนางจะยังไม่สิ้นเคราะห์
"ลูกชายของฉันคนนี้ (สมพร) แต่งงานมีครอบครัว และมีลูกคือน้องบ่าว ส่วนลูกสะใภ้นั้นหนีไปอยู่ที่อื่นหลายปีแล้ว ทิ้งน้องบ่าวให้ฉันกับลูกชายเลี้ยง ช่วงแรกๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ตอนหลังๆ ตามันฝ้า ไม่มีเงินไปรักษา ทำให้ตาใกล้บอดเต็มที"
ที่น่าเศร้ากว่าเรื่องราวของตนเอง ก็คือชีวิตของ "น้องบ่าว" ที่เป็นผู้พิการทางสายตามาตั้งแต่กำเนิด
“ตาทั้งสองข้างของเขาเหมือนตาขาวมันกลืนตาดำ เขามองเห็นลางๆ ในระยะใกล้ ไม่ได้บอดสนิท แต่ความจำดี น่าจะมีทางรักษาได้บ้าง แต่เราไม่มีเงิน บางครั้งก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกับโชคชะตาเหมือนกัน ตาของฉันน่ะฉันไม่อยากรักษาแล้ว แค่สงสารหลานชายที่ตาบอด ที่ผ่านมาเราไม่มีเงินกันเลย ค้างค่าเช่าบ้านบวกกับค่าไฟเดือนละ 1,600 บาทถึง 8 เดือน มิเตอร์ไฟก็โดนตัด สุดท้ายไม่รู้ว่ามีคนใจบุญที่ไหนไปช่วยจ่ายค่าไฟให้เพราะสงสาร ตั้งแต่ตามองไม่เห็น วันๆ ต้องอยู่แต่ในบ้าน ออกไปขายของเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้เลย" ย่าแดงระบายทุกข์
สมัยที่ตายังใช้การได้ ย่าแดงจะออกไปหายอดมะขามกับพืชผักเล็กๆ น้อยๆ ไปขายที่ตลาดเพื่อเลี้ยงตัวเอง ส่วนลูกชายทำงานรับจ้าง ได้ค่าจ้างวันละร้อยกว่าบาทเก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายของตัวเขากับน้องบ่าว แต่ทุกวันนี้ย่าแดงทำได้แค่ต้มไข่ หุงข้าวก็ยังไม่ได้เพราะมองไม่เห็นว่าข้าวสุกหรือยัง
“ถ้าตาฉันมองเห็น ฉันจะได้ขายของ ทุกวันนี้ตาฉันเกือบบอดแต่ใจยังไม่บอด ยอมอดดีกว่าไปขอเขากิน ฉันอยู่ที่นี่มานาน ไม่คิดกลับไปบ้านเกิดแล้ว เพราะพ่อแม่พี่น้องไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนกันหมด แม้สถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็จะขอตายอยู่ที่นี่” ย่าแดงกล่าว
"น้องบ่าว" หลานรักของย่าแดง เป็นเด็กอัธยาศัยดี พูดจาฉะฉาน เขาเล่าว่า ทุกๆ วันจะอยู่แต่ในบ้านกับย่า เพราะแถวบ้านไม่มีเพื่อนเล่น เนื่องจากเด็กวัยเดียวกันไปโรงเรียนกันหมด
"ส่วนใหญ่ผมก็อาศัยฟังเสียงต่างๆ จากโทรทัศน์เป็นเพื่อนแก้เหงา เพราะตามองไม่เห็น รู้สึกเสียใจที่ต้องเป็นแบบนี้ และสงสารย่ากับพ่อมากที่ต้องดูแลผมมาตลอด"
อย่างไรก็ดี ครอบครัวของย่าแดงก็ยังไม่โชคร้ายจนเกินไปนัก เมื่อสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดยะลาได้ทราบถึงความทุกข์ทรมานของครอบครัวย่าแดง จึงยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น โดยส่งตัวย่าแดงกับน้องบ่าวไปตรวจตาที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (โรงพยาบาล ม.อ.) อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
“ดีใจมากที่ได้ไปหาหมอที่โรงพยาบาล ม.อ.หาดใหญ่ หมอบอกว่าตาของฉันมีสิทธิ์หาย เพราะเป็นต้อหิน ให้ไปลอกต้อ แต่ของน้องบ่าวไม่มีทางรักษาให้หายได้อีกแล้ว" ย่าแดงเล่าเสียงเศร้าหลังได้รับคำยืนยันจากแพทย์
ขณะที่ สมพร บอกว่า ดีใจที่หน่วยราชการช่วยให้แม่กับลูกชายได้มีโอกาสไปหาหมอ เพราะลำพังตัวเขาเองนั้นมีรายได้แค่วันละ 140 บาท ค่ากินยังเกือบไม่พอ
"แต่ผมอยากให้หมอลองรักษาลูกชายอีกสักครั้ง ผมจะลองไปปรึกษากับโรงพยาบาลศูนย์ยะลา เผื่อจะขอให้ส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชที่กรุงเทพฯ ผมอยากรักษาลูกให้หาย จะได้มองเห็นโลกใบนี้บ้าง ตอนเขาเล็กๆ หมอบอกว่ายังวางยาสลบไม่ได้จึงไม่ได้รักษา จนเขาโตก็ไม่มีเงินพาไปรักษา อยากให้เขาได้ลองไปรักษาที่กรุงเทพฯดูสักครั้ง แต่ถ้าไม่มีโอกาสหายจริงๆ ก็จะส่งไปเรียนที่โรงเรียนสอนคนตาบอดที่ จ.สงขลา ตามที่ทางราชการจัดให้ แม้จะไกลก็ตาม แต่ก็จะส่งไปเพื่ออนาคตของเขา เพราะอนาคตเราอาจไม่สามารถอยู่ดูแลเขาไปได้ตลอด เขาจะได้ดูแลตัวเอง"
ด้วยความที่ต้องทำงานหนักแบบไม่มีวันหยุดพัก สมพร บอกว่าดวงตาของเขาก็เริ่มมีปัญหาเหมือนกัน
"ผมรู้สึกปวดตาและตาพร่าอยู่บ่อยๆ แต่ยังไม่ได้ไปให้หมอดูอาการเพราะกังวลเรื่องเงิน และอยากให้ลูกกับแม่อาการดีขึ้นก่อน หากอาการของแม่ดีขึ้น แม่อยากหารถเข็นขายของสักคัน จะได้ขายของเล็กๆ น้อยๆ หน้าบ้าน หารายได้มาจุนเจือครอบครัว" สมพร กล่าว
เรื่องราวการต่อสู้ชีวิตในโลกมืดของย่าแดงกับน้องบ่าวยังคงดำเนินต่อไปตราบเท่าที่ยังไม่สิ้นลมหายใจ ขณะที่สารพัดโครงการพัฒนาและงบประมาณกว่าแสนล้านเพื่อดับไฟใต้ ไม่ได้ช่วยให้ครอบครัวนี้มีความเป็นอยู่ดีขึ้นแม้แต่น้อย
เมื่อคนยังเป็นทุกข์ แล้วบ้านเมืองจะสงบสุขได้อย่างไร...เป็นคำถามที่ไม่รู้จะให้ใครตอบดี
--------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 ย่าแดงกับน้องบ่าว
2 วันๆ อยู่แต่ในบ้าน เพราะน้องบ่าวไม่ได้ไปโรงเรียน และไม่มีเพื่อนเล่น