แนะเพิ่มบทบาท “พ่อ” ดูแลครอบครัวมากขึ้นรับมืออาเซียน
ผอ.สค. แนะเพิ่มบทบาท “พ่อ” รับมือ AEC ดูแลครอบครัวมากขึ้น อย่าปล่อยเป็นหน้าที่หลักของแม่บ้าน เผยการรับรู้ข้อมูลอาเซียนมาจากครอบครัวไทยเพียงร้อยละ 18.2 ชี้ผู้ปกครองต้องคุยกับลูกมากขึ้น
เร็ว ๆ นี้ ที่ท้องฟ้าจำลอง กรุงเทพฯ สมาคมครอบครัวศึกษาแห่งประเทศไทย มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว สสส. สำนักงานกิจการสตรีและความมั่นคงของมนุษย์ และศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดเสวนา “756 วัน เตรียมพ่อไทยไปอาเซียน”
โดยนายสมชาย เจริญอำนวยสุข ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กล่าวว่า ครอบครัวไทยต้องมีเตรียมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมที่จะเข้าสู่สังคมอาเซียน เนื่องจากสังคมมักพูดถึงวิกฤติความเป็นอยู่ เศรษฐกิจ ด้านการพัฒนาประเทศ โครงสร้างให้เท่าเทียมกัน แต่ไม่มีใครกล่าวถึงวิถีชนของสังคมครอบครัวไทยว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยมีสังคมของผู้สูงอายุมากขึ้น โดยผู้สูงอายุเหล่านี้ไม่ค่อยทราบเรื่องราวเกี่ยวกับอาเซียน ดังนั้น การที่สมาคมฯ มีกิจกรรมรณรงค์ลักษณะนี้ จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเพื่อให้ครอบครัวไทยเข้มแข็ง โดยเห็นว่าพ่อซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวจะต้องมีบทบาทในครอบครัวมากขึ้น อย่าปล่อยให้แม่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลทุกอย่างในบ้านแต่เพียงผู้เดียว
พญ.พรรณพิมล วิปุลากร เลขาธิการสมาคมครอบครัวศึกษาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากผลสำรวจเกี่ยวกับทัศนคติและการตระหนักรู้เกี่ยวกับอาเซียนของกรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ ในกลุ่มนักศึกษา จำนวน 2,170 คน จากมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศในปี พ.ศ. 2552 พบว่า ในข้อคำถามที่ถามว่า “คุณรู้สึกว่าคุณเป็นประชาชนอาเซียน ?” ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 8คิดเป็นร้อยละ 67 ที่ตอบมากถึงมากที่สุด โดยลำดับที่ 1 คือ ประเทศลาว ร้อยละ 96.0 และประเทศสิงคโปร์อยู่ในลำดับสุดท้าย ร้อยละ 49.3 และเมื่อถามความรู้เกี่ยวกับอาเซียน ได้แก่ ธงอาเซียน และการก่อตั้งอาเซียน ประเทศไทยอยู่ในลำดับสุดท้าย คิดเป็นร้อยละ 38.5 และร้อยละ 27.5 สำหรับแหล่งของการรับรู้ข้อมูลนั้น ร้อยละ 78.4 จากโทรทัศน์ ร้อยละ 73.4 มาจากโรงเรียน และมาจากหนังสือพิมพ์ ร้อยละ 70.7 ทั้งนี้การรับรู้ข้อมูลที่มาจากครอบครัวนั้น พบเพียงร้อยละ 18.2 จากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนเรื่องการเตรียมความพร้อมของครอบครัวไทยได้ว่าควรต้องมีการติดตามข้อมูลข่าวสาร และสื่อสารระหว่างกันภายในครอบครัวถึงเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ที่ทันต่อโลกมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความตระหนักและเตรียมความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งการสร้างการรับรู้และตระหนักในความเป็นพลเมืองอาเซียน ควบคู่ไปกับการพัฒนาความรู้ทักษะในการดำรงชีวิตในประชาคมอาเซียน
พญ.พรรณพิมล กล่าวอีกว่า การที่สังคมไทยก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ครอบครัวต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน บทบาทของพ่อกับการเปลี่ยนแปลงนับว่าสำคัญ เพราะผู้ชายมีสัญชาตญาณกับการเปลี่ยนแปลงมากกว่าผู้หญิง หากเราช่วยทำให้พ่อมีบทบาทสำคัญในการสร้างการเรียนรู้นี้ได้ก็จะเป็นกลไก หลักในการช่วยการเรียนรู้ของครอบครัวได้เช่นกัน ดังนั้น 5 เรื่องใหญ่ที่อาเซียนท้าทายครอบครัวไทย คือ 1.ความพร้อมเรื่องภาษาเพื่อการติดต่อสื่อสาร ครอบครัวไทยต้องฝึกภาษาให้ลูก และตัวเราด้วย โดยเฉพาะภาษาอังกฤษที่จะเป็นภาษากลางในการสื่อสารระหว่างกัน 2.การเรียนของลูกจะเปลี่ยนไปมีความเป็นไปได้สูงที่ช่วงเวลาการเปิด-ปิดภาค เรียน หลักสูตรและเนื้อหาการเรียน สภาพแวดล้อมในการเรียน ทั้งนี้หมายรวมถึงโลกและโอกาสในการศึกษาเรียนรู้ของลูกน่าจะเปิดกว้างขึ้น ด้วย 3.ใจที่เปิดกว้างและเป็นมิตร พร้อมจะเป็นครอบครัวเดียวกัน ทักษะสำคัญที่ต้องมี คือ ความเป็นมิตร รู้จักยอมรับ และเคารพในความหลากหลาย รวมทั้งการสร้างทัศนคติทางบวกต่อความแตกต่าง และทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับอาเซียนด้วย 4.เศรษฐกิจที่กระทบชีวิตครอบครัว อาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตหรือการใช้เวลาร่วมกัน ของครอบครัว เช่น พ่อแม่บางบ้านอาจทำงานหนักมากขึ้น บางคนในครอบครัวอาจต้องไปทำงานต่างถิ่น ต่างประเทศ ฯลฯ จริงๆ เรื่องนี้อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ของบางบ้าน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะปล่อยผ่านโดยไม่มีการจัดการ ทำอย่างไรจะทำให้ครอบครัวคงสัมพันธภาพอันดีระหว่างกัน ทำหน้าที่ดูแลกันและกันได้และคงความเป็นครอบครัวอยู่ได้เช่นเดิม และ 5.โรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งอาจเป็นโรคใหม่ๆ ที่คนไทยไม่เคยเป็นหรือไม่เคยเจออาการอย่างนี้มาก่อน ทั้งหมดล้วนมีคำตอบเดียวกัน คือ ครอบครัวต้องพร้อมจะเรียนรู้เพื่อก้าวสู่สังคมที่กำลังจะเปลี่ยนไปอย่างแน่ นอน
นางอรอุมา เกษตรพืชผล พิธีกรชื่อดัง กล่าวว่า เมื่อไทยก้าวเข้าสู่สังคมอาเซียนแน่นอนว่าเราจะพบกับปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย โดยครอบครัวต้องพร้อมรับมือ เพราะทุกวันนี้กิจกรรมที่พ่อ แม่ หรือลูกสนใจทำนั้นกำลังดึงเวลาออกจากกัน แทนที่จะได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ดังนั้นเมื่อไทยก้าวเข้าสู่ AEC ครอบครัวโดยเฉพาะพ่อในฐานะผู้นำต้องดูว่าครอบครัวนั้นมีความรักต่อ กันเพียงใด และจัดลำดับความสำคัญในสิ่งที่ต้องทำ ยกตัวอย่างพ่ออาจต้องหาวิธีการสร้างรายได้ แต่หากหาเพิ่มไม่ได้ ก็อาจเปลี่ยนเป็นการลดรายจ่ายหรือไม่ ส่วนตัวลูกนั้นจำเป็นหรือไม่ต้องได้เข้าเรียนสถาบันการศึกษาชื่อดังเท่านั้น หรือขอให้แค่เรียนที่ไหนก็ได้ แต่จบออกมาแล้วมีงานทำก็พอ ซึ่งเรื่องเหล่านี้คือการเปิดใจให้กัน นอกจากนี้ พ่อและแม่ต้องช่วยกันให้สติลูกมากๆ พยายามทำให้ลูกคิดวิเคราะห์เป็นเพื่อพร้อมรับกับสถานการณ์ทั้งบวกและลบที่ต้องเผชิญต่อไป
