4 ชีวิตกำพร้ากับหยดน้ำตา...หลังสิ้นเสียงปืนที่สายบุรี
นาซือเราะ เจะฮะ
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
มีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า "มนุษย์เราขอเพียงยังมีลมหายใจ ก็ถือเป็นโชคดีอย่างที่สุดแล้ว" แม้คำกล่าวนี้จะเป็นความจริงอันมิอาจปฏิเสธได้ ทว่าในโลกอันโหดร้ายใบนี้ หลายๆ ครั้งการที่ต้องมีลมหายใจอยู่เพื่อต่อสู้กับชีวิตหลังจากความรุนแรงพรากบุคคลอันเป็นที่รักไป ก็อาจหาใช่เป็นความโชคดีไม่
ดังเช่นชีวิตของเด็กชายวัย 5 ขวบ...อับดุลซาลาม วามะ ที่ต้องสูญเสียพ่อ แม่ และพี่ชายไปในคราวเดียว จากเหตุการณ์คนร้ายใช้อาวุธปืนพกสั้นรัวยิง นายหะแว วามะ อายุ 50 ปี อดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 บ้านท่าน้ำ ต.ท่าน้ำ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ขณะขี่รถจักรยานยนต์พา นางสารีกา แวจิ อายุ 42 ปี ภรรยา เด็กชายอับดุลกาฮิม วามะ อายุ 6 ปี ลูกชาย และเด็กชายอับดุลซาลามลูกชายอีกคน จากบ้านใน อ.ปะนาเระ มุ่งหน้า อ.สายบุรี เหตุเกิดบนถนนสายบางเก่า-บ้านแป้น ท้องที่หมู่ 1 บ้านเจาะโบ ต.แป้น อ.สายบุรี จนเป็นเหตุให้ นายหะแว นางสารีกา และเด็กชายอับดุลกาฮิมเสียชีวิต ส่วนเด็กชายอับดุลซาลามได้รับบาดเจ็บ
ขณะนี้ เด็กชายอับดุลซาลาม นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลปัตตานี โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ นำโดยผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีไปเยี่ยมอาการและให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด ตามข่าวบอกว่าเด็กชายวัยเพียง 5 ขวบคนนี้ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าและมีปัญหาเรื่องสภาพจิตใจ เนื่องจากต้องเห็นพ่อ แม่ และพี่ชายเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตา แต่ความจริงแล้วเรื่องราวยังมีแง่มุมที่โหดร้ายยิ่งกว่าในข่าว เพราะเด็กที่ต้องเป็นกำพร้าไม่ได้มีเพียง อับดุลซาลาม เพียงคนเดียว แต่ยังมีพี่ๆ ของเขาอีกถึง 3 คน และครอบครัวที่เหลือเพียงเด็กๆ นี้ ต้องกลายเป็นครอบครัวที่ไร้เสาหลัก ขาดที่พึ่ง
เด็กหญิงนุรอาซียัน วามะ อายุ 14 ปี ซึ่งกำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนศาสนศึกษา ต.ตะบิ้ง อ.สายบุรี บุตรคนที่ 3 จาก 5 คนของครอบครัววามะ เผยความรู้สึกว่า ยังไม่รู้จะกลับไปที่บ้านใน ต.ท่าน้ำ อ.ปะนาเระ ได้อีกหรือไม่ เพราะยังรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
"มันช่างโหดร้ายสำหรับหนูและพี่ๆ อีก 2 คน ยิ่งกว่านั้นน้องชายคนสุดท้อง (เด็กชายอับดุลซาลาม) ที่อยู่ในเหตุการณ์ ยังเห็นภาพตอนเกิดเหตุตลอด ยังไม่รู้ว่าพวกเรา 4 คนที่ยังเหลืออยู่จะต้องเจออะไรบ้างในวันที่ไม่มีพ่อกับแม่อีกต่อไปแล้ว"
เด็กหญิงนุรอาซียัน เล่าว่า แม้ครอบครัวของเธอจะยากจน และเป็นครอบครัวใหญ่ มีลูกหลายคน แต่ที่ผ่านมาก็อยู่กันอย่างมีความสุขตามอัตภาพ
"พวกเราอยู่ด้วยกันและจะช่วยกันทุกอย่าง ทุกคนจะทำงานเพื่อครอบครัว พ่อกับพี่ชายคนที่ 2 คือ ไฟซอล (ไฟซอล วามะ อายุ 16 ปี) จะออกรับจ้างทั่วไป ส่วนแม่ก็จะรับปักผ้าคลุมผม ขณะที่พี่ชายคนโตก็หางานทำ ทำทุกอยากที่ได้เงิน ทั้งก่อสร้างที่นี่และไปถึงประเทศมาเลเซีย พี่ชายรับทำหมด ส่วนตัวหนูเองก็จะช่วยแม่ทำกับข้าวหลังจากเลิกเรียนตอนเย็น ตกเย็นมากินข้าวพร้อมกัน คุยเรื่องเรียนและเรื่องทั่วๆ ไปเกี่ยวกับอนาคตของพวกเรา"
เธอบอกว่า ทางบ้านมีฐานะลำบาก ทำให้พี่ชายคนโต 2 คนตัดสินใจไม่เรียนต่อหลังจากจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เพื่อเสียสละให้น้องๆ ได้เรียน จากนั้นพี่ชายทั้งสองก็ออกหางานทำช่วยครอบครัว
"พวกเราคิดว่าจะเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่พ่อ แม่ และพี่ๆ จะมีเงินส่ง จะได้มีความรู้ออกมาช่วยทางบ้านในวันข้างหน้า แม่บอกว่าหนูเรียนเก่ง อยากให้เรียนจนจบเป็นหมอให้ได้ แม้ว่าแม่จะต้องทำงานหนักมากเท่าใดก็ตาม นั่นคือสิ่งที่แม่เคยพูด แต่นับจากนี้ไปอะไรที่เคยวาดหวังไว้คงมลายหายไปหมดแล้ว เพราะพ่อกับแม่ไม่ได้อยู่กับพวกเราอีกแล้ว เรา 4 พี่น้องที่เหลืออยู่ยังมองไม่เห็นเลยว่าจะเดินไปทางไหน สิ่งเดียวที่ภาวนาในตอนนี้คือขอให้มีโอกาสได้เรียนต่อ มีทุนการศึกษา เพื่อจะเรียนต่อจนจบได้ และอยากให้ช่วยหางานประจำให้พี่ชายทั้ง 2 คน จะได้มีเงินประทังชีวิตและดูแลน้องๆ ต่อไป"
ครอบครัววามะนับว่าเป็นครอบครัวที่ลำบากมากครอบครัวหนึ่ง และไม่เคยเป็นศัตรูกับใคร แม้แต่วันที่เกิดเหตุก็ขี่รถจักรยานยนต์พากันไปรับจ้างขูดมะพร้าวที่บ้านญาติใน อ.สายบุรี ลูกๆ ที่เหลือจึงมืดแปดด้านไปหมด ไม่รู้ว่าเหตุร้ายครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
"ก่อนที่พ่อกับแม่จะจากไป ท่านเคยบ่นตอนที่กินข้าวกันว่า ทำไมคนอื่นเขาสบายกันหมดแล้ว เหลือแต่พวกเรา แม่ยังเคยบอกว่ายิ่งนับวันทำไมถึงยิ่งแย่ เมื่อก่อนจนขนาดไหนก็ไม่เคยกินข้าวกับบูดูอย่างเดียว แต่ท่านก็ขอให้พวกเราทุกคนอดทน สิ่งที่อัลเลาะฮ์ให้มาถือว่าดีที่สุดแล้ว ยังมีคนอื่นที่แย่กว่าครอบครัวเราอีกเยอะ ตอนนี้เมื่อพ่อกับแม่จากไปหนูยังนึกถึงคำพูดของแม่ ไม่นึกเลยว่าการกินข้าวเปล่ากับบูดูจะเป็นมื้อสุดท้ายที่พวกเราได้อยู่กันพร้อมหน้า" นุรอาซียัน กล่าวพร้อมกับร้องไห้ออกมา
“จนถึงวันนี้ยังไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองและน้องๆ เลยว่าจะเป็นอย่างไร จะอยู่กับใคร อยู่ที่ไหน หรือแม้แต่จะกินอะไร ยังคิดไม่ออก ที่คิดได้มีอย่างเดียวคือพวกเรา 4 คนต้องอยู่ด้วยกัน เพราะจะอย่างไรพ่อกับแม่ก็ไม่อยู่แล้ว ถ้าจะให้พี่น้องแยกจากกันอีกเราคงไม่ยอม จะทำทุกอย่างให้สามารถอยู่ด้วยกันได้ แม้จะต้องอดก็ตาม”
ส่วนอาการของน้องชายคนเล็ก นุรอาซียัน บอกว่า แม้อาการของน้องจะดูไม่น่าเป็นห่วง เพราะไม่มีบาดแผลให้เห็นภายนอก แต่สภาพจิตใจเป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก เดิมทีน้องก็เป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว เมื่อมาเจอเหตุการณ์อย่างนี้อีกยิ่งทำให้น้องพูดจาน้อยลงกว่าเดิมมาก
"กับหนูเองที่ผ่านมาน้องจะพูดจะคุยด้วยมากกว่าคนอื่น แต่ทุกวันนี้พูดเพียงขอน้ำ ขอเข้าห้องน้ำเท่านั้นเอง และไม่ยอมพูดถึงเหตุการณ์วันนั้นเลย สามวันหลังจากเกิดเหตุ น้องไม่เคยร้องเรียกแม่กับพ่อเลย ทั้งที่น้องกับแม่ไม่เคยแยกออกจากกัน บางครั้งไปโรงเรียนแม่ยังต้องไปเฝ้า ทำให้รู้สีกงงเหมือนกันว่าทำไมน้องไม่พูดถึงหรือถามหา เลยเครียดมาก คิดว่าน้องอาจจะมีปัญหาด้านจิตใจไปอีกคน มันยิ่งทำให้รู้สึกแย่ทุกครั้งที่เห็นหน้าน้อง"
กับข่าวที่ว่า หะแว วามะ เป็นพยานปากเอกในคดีสังหารผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ โดยทีมสังหารถูกจับกุมได้และซัดทอดว่าผู้บงการฆ่าผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำท้องถิ่นอีกคนหนึ่ง ซึ่ง หะแว คือผู้กำความลับในคดี จึงมีการคาดการณ์กันว่าเขาถูกฆ่าปิดปากนั้น นุรอาซียัน บอกว่า ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย จึงคิดไม่ออกว่าพ่อถูกยิงเพราะอะไร
"ปกติพ่อเป็นคนเงียบ ถามคำตอบคำ ไม่เคยมีเรื่องกับใคร และอยู่กับครอบครัวตลอด จะไปไหนมาไหนกับผู้ใหญ่บ้านคนเก่าที่เสียชีวิตบ้าง แต่ก็ไม่บ่อย เวลาไปประชุมก็จะไปกันหลายๆ คน นอกจากนั้นพ่อก็จะใช้เวลาอยู่กับครอบครัว พ่อไม่ชอบนั่งร้านน้ำชา ก่อนหน้านี้พ่อเคยเป็นลูกจ้างในโครงการจัดหางานเร่งด่วนของทางการ ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยโรงเรียนน้ำบ่อ และเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน แต่หลังจากผู้ใหญ่บ้านคนเก่าถูกยิง พ่อก็ลาออกจากตำแหน่งหมด ปัจจุบันจึงมีอาชีพแค่รับจ้างเท่านั้น จึงคิดไม่ออกว่าพ่อจะเสียชีวิตจากเรื่องไหน" นุรอาซียัน บอก
เรื่องสาเหตุการสังหาร พ.ต.อ.วัลลพ จำนงอาสา ผู้กำกับการ สภ.สายบุรี ให้ข้อมูลตรงกับที่ครอบครัววามะรับรู้ ก็คือการตายของ หะแว ไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องการเป็นพยานในคดียิงผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่บ้านท่าน้ำ เพราะเป็นการให้ปากคำธรรมดา และหะแวก็ให้การว่าไม่ได้รู้เห็นอะไรเกี่ยวกับการเสียชีวิตของอดีตผู้ใหญ่บ้าน จนทำให้คดีไม่สามารถยื่นฟ้องต่อศาลได้ เพราะไม่มีตัวผู้ต้องหา
แวนะ ยูโซ๊ะ อายุ 45 ปี ป้าของเด็กๆ เล่าว่า ที่ผ่านมาครอบครัวของสารีกาน้องสาวลำบากมาตลอด ยิ่งมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้อีก จึงไม่รู้จะพูดอย่างไร นอกจากบอกให้หลานๆ อดทน
"ฉันได้แต่พูดกับหลานๆ ว่าพ่อแม่ไปสบายแล้ว แต่เราที่ยังมีชีวิตอยู่ยังไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไร พวกเขา 4 พี่น้องน่าสงสารมาก หลังจากพ่อแม่ตาย พี่ชายคนโต (นายแวซูเบะ วามะ อายุ 19 ปี) ที่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงมาตลอด พอมารู้ว่าพ่อแม่และน้องเสียชีวิต ก็ล้มป่วยทันที เหม่อลอยทั้งวัน ไม่กินไม่นอน ชวนมาดูน้องก็ไม่มา ยิ่งกว่านั้น ไฟซอล (พี่ชายคนที่ 2) ก็มีอาการทางประสาทมาตั้งแต่เด็ก ต้องอยู่กับยามาตลอด ส่วนอับดุลซาลามก็เป็นโรคไตอักเสบอยู่ด้วย มีนุรอาซียันคนเดียวที่คิดว่าพอจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้กับพี่ๆ และน้องได้
ด้านเจ้าของปั๊มน้ำมันหลอดใน อ.สายบุรี เล่าถึงเหตุการณ์สลดของครอบครัววามะว่า เช้าวันเกิดเหตุ หะแว ขี่รถจักรยานยนต์มาเติมน้ำมันที่ปั๊ม โดยมาพร้อมกับภรรยาและลูกๆ อีก 2 คน ลูกคนเล็ก (อับดุลซาลาม) นั่งอยู่ด้านหน้า ส่วนลูกชายอีกคน (อับดุลกาฮิม) นั่งบนตักนางสารีกา
"ตอนที่หะแวแวะมาเติมน้ำมัน ก็ได้พูดคุยกันเล็กน้อย จากนั้นหะแวก็ขับรถออกไป มุ่งหน้าไปทางบ้านป่าทุ่ง ต.บางเก่า อ.สายบุรี หลังจากนั้นไม่นานก็มีลูกค้าที่เข้ามาเติมน้ำมันเล่าว่ามีคนถูกยิง สงสารมาก พ่อ แม่ ลูกตายหมด เหลือเพียงลูกคนเล็กวิ่งไปกอดจูบศพพ่อกับแม่ เขาทนดูไม่ได้จนต้องออกมา ตอนที่ฟังเขาเล่าก็ไม่ได้คิดว่าเป็นครอบครัวหะแว แต่พอไปดูปรากฏว่าใช่ จึงคิดในใจว่าไม่น่าทำกับเขาเลย เขาเป็นคนลำบาก ทั้งยังทิ้งลูกๆ อีก 4 คนให้ต่อสู้กับชะตากรรม" เจ้าของปั๊มน้ำมัน กล่าว
ขณะที่ เอก ณัฐทิพชาติ หัวหน้าศูนย์เยียวยาจังหวัดปัตตานี กล่าวว่า ขณะนี้ทั้งสามฝ่าย (ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง) ยังไม่มีข้อสรุปว่าเหตุร้ายที่เกิดกับครอบครัววามะมาจากสาเหตุอะไร จึงยังไม่สามารถทำอะไรได้มาก เบื้องต้นก็เข้าไปเยี่ยมและให้เงินช่วยเหลือเพื่อปลอบขวัญก่อนเท่านั้น
นายแพทย์เอ็มนัสรี มินทราศักดิ์ จิตแพทย์ประจำโรงพยาบาลปัตตานี ซึ่งได้เข้าไปพูดคุยกับอับดุลซาลาม กล่าวว่า เด็กชายอับดุลซาลามได้รับผลกระทบทางจิตใจหนักมาก รวมทั้งพี่ๆ ของเด็กด้วย สภาพจิตใจถือว่าอยู่ในภาวะติดลบ ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรในการฟื้นฟู
แม้จะมีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า "มนุษย์เราขอเพียงยังมีลมหายใจ ก็ถือเป็นโชคดีอย่างที่สุดแล้ว" แต่ในโลกอันโหดร้ายใบนี้ และกับสถานการณ์รุนแรงที่ชายแดนภาคใต้ หลายๆ ครั้งการที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป อาจไม่ใช่ความโชคดี...