แสงแห่งความหวัง...เปิดตาจากความมืดมิดที่ชายแดนใต้
นาซือเราะ เจะฮะ
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
“ทหารไม่ได้มาถามหาโจร เขาเข้ามาถามปัญหาความเดือดร้อนของพวกเรา โดยเฉพาะโครงการแสงแห่งความหวังที่เป๊าะพอใจและชอบที่สุด เพราะทำให้เป๊าะมองเห็นได้เหมือนทุกคน ขี่จักรยานไปมัสยิดได้ อ่านอัลกุรอานได้ รู้ว่าใครเป็นใคร ทหารหรือชาวบ้านเป๊าะมองเห็นหมด ทั้งที่ก่อนหน้านี้แทบไม่มีความหวังเลยว่าจะมองเห็นได้เช่นนี้”
เป็นเสียงแห่งความประทับใจของผู้เฒ่าวัย 69 ปี แห่งบ้านปายอแง หมู่ 5 ต.อาซ่อง อ.รามัน จ.ยะลา หลังเข้ารับการผ่าตัดต้อเนื้อกับโครงการ “แสงแห่งความหวัง”
โครงการชื่อเพราะๆ นี้ กำลังเป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างมากมายในพื้นที่ อ.รามัน เมื่อหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 41 ซึ่งตั้งฐานอยู่ที่ ต.วังพญา อ.รามัน จับมือกับ “บริษัททาสของแผ่นดิน จำกัด” และหน่วยราชการอื่นๆ ในพื้นที่ จัดโครงการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวกับดวงตาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะต้อเนื้อกับต้อกระจก ให้เข้ารับการผ่าตัดรักษาฟรีจนหายขาด โดยใช้ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากกรุงเทพฯ
โครงการนี้เองที่ทำให้คนแก่สายตาฝ้าฟาง บางคนถึงขั้นมืดบอดมองไม่เห็นมานานหลายปีซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้กลับมามองเห็นแสงสว่างกันอีกครั้ง
ก่อนจะเป็น...แสงแห่งความหวัง
พ.ท.เอกธวุฒ คงคาเขตร รองผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 41 เล่าถึงที่มาของโครงการว่า จากที่ได้ทำงานในพื้นที่มาระยะหนึ่ง ทำให้ทราบว่ามีประชาชนผู้สูงอายุจำนวนมากป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับดวงตา พวกต้อเนื้อ ต้อกระจก จนไม่สามารถมองเห็นได้อย่างปกติ บางคนตาพร่ามัว มองไม่ชัด บางคนมองไม่เห็นเลย จนไม่สามารถดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขได้ หลายคนประกอบอาชีพไม่ได้ กลายเป็นภาระให้กับลูกหลาน ที่สำคัญบางคนป่วยมานานมากแล้ว แต่ไม่มีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ด้วยข้อจำกัดหลายประการ โดยเฉพาะความยากจน เพราะการผ่าตัดแต่ละครั้งใช้งบประมาณสูง แม้แต่โรงพยาบาลของรัฐยังอยู่ที่ 8,000-10,000 บาท ซ้ำยังต้องรอคิวนานเป็นปีๆ เนื่องจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมีจำกัด
ด้วยเหตุนี้ ทางหน่วยจึงติดต่อประสานงานไปยังประธานบริษัททาสของแผ่นดิน จำกัด และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อเชิญให้ร่วมกันจัดทำโครงการ “แสงแห่งความหวัง” เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาฯมหาราชินี โดยทำการรักษาประชาชน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และข้าราชการจากทุกหน่วยงานที่ป่วยเป็นโรคต้อเนื้อ ต้อกระจก โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
โครงการนี้ดำเนินมาจนกระทั่งประสบความสำเร็จในระยะแรกไปแล้ว กล่าวคือได้สำรวจจำนวนผู้ป่วยต้อเนื้อ ต้อกระจกในพื้นที่ อ.รามัน จากนั้นก็ให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น นัดวันตรวจ ผ่าตัด และเปิดตากันไปเรียบร้อยจำนวนกว่า 100 คน เมื่อวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยมี พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 เป็นประธานในพิธีเปิดตาด้วยตัวเอง
บรรยากาศในวันนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความตื่นเต้น โดยเฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่หลายคนที่ป่วยจนมองไม่เห็นมาเนิ่นนาน เมื่อได้ลืมตาและมองเห็นโลกอันสดใสคมชัดอีกครั้ง จึงถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ลูกหลานที่มารอลุ้นต่างก็พากันตื้นตันใจ หลายครอบครัวกอดกันร้องไห้ด้วยความปลื้มปิติ
นาทีที่มองเห็นอีกครั้ง...
“ตอนนั้นเป๊าะดีใจจนบอกไม่ถูก เมื่อหมอเปิดตาเสร็จ แล้วเขาบอกให้ลืมตาได้ เป๊าะไม่กล้าลืม ต้องค่อยๆ ลืม เมื่อตาเบิกกว้างก็มองเห็นทุกคนที่มาร่วมงาน...มองเห็นจริงๆ เป๊าะดีใจที่สุด” ผู้เฒ่าวัย 69 ปี แห่งบ้านปายอแง หมู่ 5 ต.อาซ่อง อ.รามัน เล่าถึงนาทีที่กลับมามองเห็นอีกครั้ง พร้อมหัวเราะอย่างมีความสุข
“ตอนนี้เป๊าะมีกำลังใจมาก มีความสุขที่สุด เพราะเคยคิดว่าชีวิตนี้คงไม่สามารถมองเห็นได้อีกแล้ว แต่วันนี้เป๊าะอ่านอัลกุรอานได้ ขี่จักรยานไปมัสยิดได้ ใครจะโกหกเป๊าะไม่ได้แล้ว ชี้ไก่เป็นไก่ สีแดงก็บอกสีแดงได้เลยแหละ เพราะเป๊าะมองเห็นแล้ว”
นายและแม จะซีติ วัย 65 ปี บอกอย่างอารมณ์ดีเช่นกันว่า ตอนที่เปิดตาครั้งแรกและมองเห็นได้ รู้สึกดีใจมาก ดีใจอย่างบอกไม่ถูก หันข้างหลังมองออกไปนอกห้องเห็นหน้าภรรยา ลูก หลาน ทำให้ลืมตัวไปว่าทำตามา ดีใจมากที่มีโครงการนี้
"พอมองเห็นทุกอย่างอีกครั้ง อะไรๆ ที่เคยรู้สึกขัดใจมานานว่าเราทำไม่ได้ ก็จะทำทันที อย่างพายเรือออกหาปลา เลี้ยงวัว ตอนนี้ทำทุกอย่างที่อยากทำ เพราะอัดอั้นมานาน ต้องอยู่ในความดูแลของลูกและภรรยามาตลอด”
นางวาเยาะ หะยีมะลีมี วัย 63 ปี ผู้ป่วยต้อกระจกจากบ้านโต๊ะแยะ ต.ยะตะ อ.รามัน เผยความรู้สึกว่า ตอนที่ตามองไม่เห็น ไม่มีความสุขเลย ขัดใจไปทุกเรื่อง แต่ก็ต้องทำใจเพราะเราอายุมากแล้ว ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีวันนี้อีก
“โครงการนี้นอกจากจะให้บริการฟรี มีแพทย์จากกรุงเทพฯมารักษาแล้ว ยังดูแลชาวบ้านทุกอย่าง ไม่ต้องออกเงินเลยแม้แต่บาทเดียว ตอนกลับบ้านยังได้ค่ารถกลับอีกด้วย บางคนที่อยู่ห่างไกลหรืออายุมาก เดินเหินไม่ค่อยสะดวก ทหารก็จะจัดรถทั้งไปรับและไปส่ง” นางวาเยาะ บอก
ให้ใจทหารพราน
ไม่เพียงแต่รักษาฟรีและให้บริการเต็มที่ถึงขั้นจัดรถรับ-ส่งเท่านั้น แต่สำหรับผู้ป่วยที่อาการหนักกว่าต้อเนื้อ ต้อกระจก เช่น เป็นต้อหิน ทางกรมทหารพรานที่ 41 ก็ไม่ละเลยที่จะช่วยเหลือ
อย่างกรณีของ นายยูโซ๊ะ มาดีเยาะ ชายวัยแซยิดจากบ้านโต๊ะแยะ ต.ยะตะ อ.รามัน ซึ่งเป็นต้อหิน กรมทหารพรานที่ 41 ก็เดินเรื่องส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา จนสำเร็จ
“ผมดีใจมาก แม้จะไม่ได้รับการผ่าตัดตาในโครงการแสงแห่งความหวัง แต่ทหารพรานก็เดินเรื่องให้จนสามารถไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล ม.อ.หาดใหญ่ได้ ถือเป็นโอกาสที่ดีมากๆ สำหรับคนจนที่ไม่ค่อยมีโอกาสในการรักษาพยาบาล”
จากความประทับใจในโครงการ ก็เผื่อแผ่ความรู้สึกดีๆ ไปถึงทหารพรานสังกัดกรมทหารพรานที่ 41 ด้วย
“ปกติโครงการของรัฐจะช่วยคนจนจริงๆ ได้น้อยมาก แต่โครงการนี้ทหารทำให้กับทุกคน ไม่แบ่งแยก แถมยังบริการดีน่าประทับใจ เจ้าหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส อยากให้โครงการแบบนี้มีตลอด และขออย่าให้โยกย้ายเจ้าหน้าที่ชุดนี้ออกไปจากพื้นที่เลย” นายยูโซ๊ะ กล่าว
ส่วนผู้ร่วมโครงการคนอื่นๆ กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า โครงการแสงแห่งความหวังทำให้มีความรู้สึกดีๆ กับทหาร และเข้าใจทหารมากขึ้นเยอะทีเดียว
ขณะที่ นางแวเมาะ ยีกาจิ แม่เฒ่าวัย 70 ปี จาก อ.ยะหา จ.ยะลา ซึ่งอยู่นอกเขต อ.รามัน จึงไม่ได้เข้าร่วมโครงการแสงแห่งความหวังในระยะที่ 1 กล่าวว่า ได้ทราบข่าวจากคนรู้จัก ฟังแล้วก็รู้สึกดี ทำให้มองภาพของทหารพรานในอีกแง่มุมหนึ่ง จากที่เคยคิดว่าทหารพรานไม่ดี เข้ามาทำร้ายประชาชน ก็คิดว่านั่นอาจจะเป็นเพียงส่วนน้อยที่เราเห็น คนที่ดีๆ ยังมีอีกเยอะที่พยายามให้ความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ของชาวบ้านในพื้นที่
ทลายกำแพงพื้นที่สีแดง
พื้นที่ดำเนินโครงการแสงแห่งความหวัง ครอบคลุมทุกตำบลของ อ.รามัน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ต.อาซ่อง และหนึ่งใน 6 หมู่บ้านของ ต.อาซ่อง คือบ้านสะโต เจ้าของเสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับ “พื้นที่สีแดงเข้ม” และเป็นเขต “เจ้าหน้าที่รัฐห้ามเข้า”
แต่โครงการแสงแห่งความหวัง ทลายกำแพงสีแดงที่ว่านี้ได้สำเร็จ
“เมื่อประมาณปี 2549-2550 พื้นที่บ้านสะโตมีแต่ความดุเดือดร้อนแรง ทั้งการเคลื่อนไหวของแกนนำแนวร่วม มีการชุมนุมปิดถนนทุกครั้งเมื่อชาวบ้านไม่พอใจอำนาจรัฐ เหตุการณ์ในพื้นที่เกิดบ่อยจนไม่อาจนับเป็นตัวเลขได้ว่ากี่ครั้ง ทั้งเผายางรถยนต์ โปรยตะปู ลอบวางระเบิด ลอบยิง เผาโรงเรียน มีการก่อเหตุแบบครบสูตร ชาวบ้านอยู่กันอย่างหวาดผวา” เป็นภาพบรรยากาศของบ้านสะโตในอดีตเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา จากปากของ นายดอรอฮะ วาอีบาโส กำนัน ต.อาซ่อง ซึ่งรู้จักพื้นที่บ้านสะโตเป็นอย่างดี
“ประมาณปี 2551 หลายคนเริ่มรู้สึกเหนื่อยกับเหตุการณ์ ประกอบกับทหารพรานหน่วยสันติสุขที่ 41-5 เริ่มเข้ามาในพื้นที่ด้วย จึงมีการปรึกษากัน และได้เรียกชาวบ้านมาหารือทุกคนจนเข้าใจ สุดท้ายก็พร้อมใจกันต่อต้านการก่อความไม่สงบ หลังจากนั้นเหตุการณ์ในพื้นที่ก็ลดลงจนทุกวันนี้ไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นอีกแล้ว”
“ปัจจุบันชาวบ้านอยู่กันอย่างมีความสุข เข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ ยิ่งกว่านั้นเจ้าหน้าที่ก็สามารถเข้าออกได้ทุกบ้าน ภาพที่บ้านสะโตในวันนี้ช่างต่างจากเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ไม่ค่อยเข้าถึงชาวบ้าน ถ้ามาก็มาแบบฉาบฉวย ใครบ้างจะไม่ระแวง เพราะที่บ้านสะโตเคยมีประวัติทหารเขียว (ทหารหลัก) ยิงชาวบ้านแล้วพลาดไปโดนเด็ก แม้จะมีการเจรจาจนฝ่ายทหารเขียวยอมจ่ายค่าเสียหาย แต่ในความรู้สึกของชาวบ้านมันก็ยังฝังใจ” กำนันดอรอฮะ บอก
ทุกวันนี้หน่วยทหารที่ดูแลพื้นที่เปลี่ยนเป็นทหารพราน ซึ่งชาวบ้านรู้จักในนาม “ทหารชุดดำ” และแน่นอนว่าโครงการที่ทำให้ทหารชุดดำเข้าถึงชาวบ้านได้มากขนาดนี้ ก็คือ “แสงแห่งความหวัง”
“ชาวบ้านทุกคนที่นี่ได้เห็นแล้วว่าทหารชุดดำเข้ามาช่วย ไม่ได้มาทำร้าย ทุกครั้งที่มาในพื้นที่ก็จะเอายา เอาอาหารมาให้ และรับฟังทุกอย่างที่เป็นปัญหาของชาวบ้าน จากนั้นก็คิดวิธีแก้ไข ซึ่งต่างจากกองกำลังชุดอื่นๆ ที่ทำอะไรโดยไม่เคยฟังความเห็นของชาวบ้านเลย” กำนันดอรอฮะ กล่าว
ขณะที่ นายแมอิง แจะเละ อิหม่ามวัย 60 ปีประจำมัสยิดบ้านสะโต บอกว่า ไม่อยากเชื่อว่าจะมีชาวบ้านในพื้นที่ให้ความสนใจกับโครงการแสงแห่งความหวังมากมายขนาดนี้ เพราะเมื่อหลายเดือนก่อนที่ทหารพรานมาประกาศข่าวให้ชาวบ้านลงชื่อที่มัสยิดสำหรับคนที่ประสงค์จะรักษาดวงตาทั้งต้อกระจกและต้อเนื้อ ตอนนั้นชาวบ้านให้ความสนใจน้อยมาก เนื่องจากเป็นโครงการของทหาร แต่พอถึงวันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ชาวบ้านจากที่เคยกลัวทหาร ปัจจุบันอุ่นใจที่มีเจ้าหน้าที่คุ้มครอง
ชาวบ้านสะโตคนหนึ่ง บอกว่า แม่น้ำสายที่ไหลผ่านหมู่บ้านเคยเป็นเส้นทางลำเลียงของกลุ่มก่อความไม่สงบ ที่ผ่านมาเราต้องช่วยตัวเองเพื่อตัดวงจรนี้ออกไป เพราะชาวบ้านที่นี่อยากอยู่ดีกินดี อยากอยู่อย่างสงบสุขเหมือนคนปกติทั่วไป
“ถึงวันนี้ชาวบ้านเริ่มให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพของทหารชุดดำ เมื่อก่อนเขตนี้ไม่มีใครเข้ามาได้เลย แต่หลังจากทหารชุดดำนำทีมแพทย์มารักษาดวงตา ข่าวจากปากต่อปากทำให้ชาวบ้านเข้าใจทหารชุดดำมากกว่าอดีตเยอะ แม้อีกฝ่ายพยายามปล่อยข่าวลือสร้างกระแสว่าถ้าใครทำตาแล้วจะเกิดผลเสีย จะทำให้ตาบอดได้ แต่ชาวบ้านก็มีวิจารณญาณพอ ไม่เชื่อกับอำนาจมืดนั้น เพราะสิ่งที่ทหารทำทุกคนสามารถจับต้องได้เป็นรูปธรรม ปัจจุบันเราอยู่กันอย่างความสงบสุขถึง 90%” ชาวบ้านรายนี้ กล่าว
เรื่องราวดีๆ จากโครงการแสงแห่งความหวังยังไม่จบ เพราะหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 41 กับบริษัททาสของแผ่นดิน จำกัด ยังคงเดินหน้าทำโครงการในระยะที่ 2 ต่อไป โดยเริ่มผ่าตัดผู้ป่วยต้อเนื้อ ต้อกระจกโดยทีมแพทย์จากกรุงเทพฯระยะที่ 2 ในวันที่ 1 ธ.ค.นี้ และจะมีพิธีเปิดตาในวันที่ 5 ธ.ค. เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาด้วย
บทเรียนจากโครงการแสงแห่งความหวังก็คือ เมื่อใดที่เจ้าหน้าที่รัฐเข้าใจปัญหาที่แท้จริงของชาวบ้าน และเข้าถึงพื้นที่ได้จริง เมื่อนั้นความสงบและสันติสุขก็จะบังเกิด สมดังพระราชดำรัส...เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา