ภาค ปชช.หวั่น รบ.เจรจา TPPสหรัฐ FTAยุโรป บั่นทอนสิทธิคนไทยเข้าถึงยา
“เอฟทีเอว็อทช์”จี้นายกฯแถลงจุดยืนผลกระทบเจรจา TPPไทย-สหรัฐ สภาฯ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมฯแนะอย่ารับ “ทริปส์พลัส” เอฟทีเอไทย-ยุโรป บั่นทอนสิทธิคนไทยเข้าถึงยา แนะรอ อย.-สช.ประเมินผลกระทบ
รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานคณะทำงานเกี่ยวเนื่องด้านสาธารณสุขและการคุ้มครองผู้บริโภค เปิดเผยถึงกรณีที่รัฐบาลต้องการเปิดเจรจาการค้าเสรีหรือเอฟทีเอกับสหภาพยุโรปภายในต้นปีหน้า แต่เนื่องจากเป็นสัญญาระหว่างประเทศ ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของไทยอย่างกว้างขวาง มีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน งบประมาณประเทศอย่างมีนัยสำคัญ สภาฯจึงทำความเห็นและข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล
“ต้องจัดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อ (ร่าง) กรอบเจรจาฯ อย่างทั่วถึงก่อนเสนอรัฐสภาพิจารณา ตามรัฐธรรมนูญ ขอให้กระทรวงพาณิชย์นำผลจากคณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นฯ ซึ่งแต่งตั้งตามมติครม. 12 ม.ค.53 เข้าสู่การพิจารณาของ ครม.เพื่อนำไปสู่การร่างกรอบเจรจาฯที่ผ่านการรับฟังอย่างกว้างขวางมาแล้ว”
ดร.จิราพร กล่าวอีกว่า ขอให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศกำหนดให้ (ร่าง)กรอบการเจรจาฯ ระบุอย่างชัดเจนให้ระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาต้องไม่เกินไปกว่าความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการค้าขององค์การการค้าโลก กฎหมายไทย หรือความตกลงใดๆ ที่ไทยเป็นภาคีอยู่ ทั้งนี้เป็นไปตามยุทธศาสตร์แห่งชาติด้านยา พ.ศ. 2555-2559 และความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ชุดที่ 2 เรื่อง “การเจรจาจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกา เพราะข้อเรียกร้องต่างๆ ใกล้เคียงกับของสหภาพยุโรป
นอกจากนี้ให้รอผลการประเมินผลกระทบทางสุขภาพต่อการเข้าถึงยา ที่อยู่ระหว่างการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการกำหนดแนวทางในการเจรจาที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ และต้องศึกษาเปรียบเทียบผลดีผลเสียภาพรวมเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน ซึ่งสะท้อนสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจสหภาพยุโรปที่เปลี่ยนแปลงไป จึงไม่ได้เป็นไปตามที่เคยศึกษาไว้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการเจรจา โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสวัสดิการเกษตรกร แรงงาน และผู้มีรายได้น้อย
ทางด้านนายอนันต์ เมืองมูลไชย สมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ว่า การทำเอฟทีเอกับสหภาพยุโรปจะส่งผลทางบวกต่อจีดีพีไทยตามรายงานการวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) อีกทั้งกรมเจรจาฯให้เหตุผลที่ต้องเร่งเปิดเจรจาเพื่อรักษาสิทธิพิเศษทางการค้า (Generalized System of Preferences: GSP) ที่ผู้ส่งออกไทยเคยได้รับอยู่และมีโอกาสจะถูกตัดสิทธินี้ในปลายปีหน้า เพราะเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง 3 ปีติดต่อกัน คิดเป็น 2,562 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 79,422 ล้านบาท) อีกทั้งเพื่อนบ้านของไทยในอาเซียน อาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย เจรจาใกล้ได้ข้อยุติแล้ว แต่งานวิจัยดังกล่าวทำก่อนที่อียูจะประสบวิกฤตเศรษฐกิจที่ยังหาทางออกไม่ได้ อาจต้องมีการทบทวน
“หากดูวิกฤตเศรษฐกิจสหภาพยุโรปขณะนี้อำนาจทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อลดลงมากและยังไม่ถึงจุดต่ำสุดของวิกฤตเศรษฐกิจ รายงานทีดีอาร์ไอในเชิงตัวเลขผลได้อาจไม่สอดคล้องสถานการณ์ปัจจุบัน จึงไม่ควรใช้เป็นข้อมูลประกอบการกำหนดนโยบายที่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้างอย่างรอบคอบและแม่นยำ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพิจารณาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการผูกขาดข้อมูลทางยา ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องที่มากเกินกว่าความตกลงทริปส์ที่สหภาพยุโรปต้องการมากที่สุด เพียงข้อเรียกร้องเดียวก็จะทำให้ ค่าใช้จ่ายด้านยาของไทยจะสูงขึ้นถึง 81,356 ล้านบาท/ปี รัฐบาลต้องระมัดระวังในการเจรจาอย่างยิ่ง”
นายอนันต์ ยังกล่าวว่าทราบมาว่าอีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า นายบารัค โอบาม่า ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจะมาเยือนประเทศไทย เชื่อว่าจะต้องมาเสนอให้ไทยเข้าร่วมเจรจาความตกลงกรค้าข้ามแปซิฟิค หรือ TPPA ซึ่งรัฐบาลต้องพึงตระหนักอย่างมาก
“ในเชิงเนื้อหา TPPA อุตสาหกรรมยาข้ามชาติไปสอดไส้ไม่ให้มีการควบคุมและต่อรองราคายา ในเชิงกระบวนการเจรจาคืบหน้าไปมาก ไทยที่ไปร่วมกลุ่มทีหลังจะถูกบังคับให้เสียเปรียบอย่างมาก เช่น ที่เม็กซิโกและญี่ปุ่นเผชิญอยู่ แต่ยิ่งไปกว่านั้นข้อตกลงนี้เป็นเครื่องมือการเมืองระหว่างประเทศเพื่อปิดล้อมจีน รัฐบาลจะต้องชั่งน้ำหนักให้ดี”
ทั้งนี้วันเดียวกันนี้ รายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจระบุว่า ครม.เห็นชอบร่างแถลงข่าวร่วมว่าด้วยการประกาศการเข้าร่วมเจรจาความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก(TPP) และการรื้อฟื้นการประชุมคณะมนตรีภายใต้กรอบความตกลงการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับสหรัฐ (TIFA JC) โดยนายกรัฐมนตรีไทยและประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจะมีถ้อยแถลงข่าวร่วมในวันอาทิตย์นี้นั้น โดย นายจักรชัย โฉมทองดี ผู้ประสานงานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน ( เอฟทีเอ ว็อทช์) กล่าวว่าค่อนข้างห่วงใยในเรื่องดังกล่าว เพราะจากการศึกษาเบื้องต้นของบริษัทไบรอันเครฟ ที่กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เคยจัดจ้าง ระบุว่า การเข้าร่วม TPP มีผลกระทบอย่างมากโดยเฉพาะเรื่องการเข้าถึงยาและผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ
“ทั้งการบังคับจดสิทธิบัตรพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ ขยายอายุสิทธิบัตรจาก 20 ปีออกไปอีกไม่เกิน 5 ปี ผูกขาดข้อมูลยา 5 ปีสำหรับยาใหม่ และ 3 ปีสำหรับยาที่ได้รับสิทธิบัตรแล้ว จะทำให้ผูกขาดยาต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผู้ป่วยไม่สามารถเข้าถึงยาได้ ไม่อนุญาตต่อรองราคายา และบังคับเปิดตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สหรัฐฯยังเรียกร้องให้มีบทบัญญัติเรื่องอนุญาโตตุลาการที่จะเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติฟ้องร้องยกเลิกนโยบายสาธารณะหรือเรียกค่าชดเชยจากรัฐในนโยบายต่างๆได้ ซึ่งขณะนี้ทั้งมาเลเซีย เวียดนามและบรูไน ยังไม่ยอมรับ ส่วนออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ประกาศไม่ต้องการให้มีบทบัญญัติเรื่องอนุญาโตตุลาการ”
“อยากให้รัฐบาลทบทวน และดำเนินการเรื่องนี้อย่างเปิดเผยโปร่งใส จัดรับฟังความคิดเห็นอย่างครบถ้วนไม่ใช่แค่ฟังนักธุรกิจเท่านั้น พร้อมทั้งอธิบายจุดยืนและท่าทีของรัฐบาลอย่างชัดเจน” .
