"วัดสวนแก้ว" ที่ยะหา...ในวันร้างผ้าเหลือง
ถนนลูกรังสลับลาดยางสายเล็กๆ จากตลาดอำเภอยะหา จังหวัดยะลา ที่มุ่งสู่ตำบลบาโร๊ะ โอบล้อมด้วยป่าไผ่และสวนยางพาราของพี่น้องมุสลิมตลอดสาย โดยปลายทางของถนนเส้นนี้คือ "วัดสวนแก้ว" ซึ่งเพิ่งกลายเป็นวัดร้าง เพราะพระภิกษุ 2 รูปที่จำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้มานานเพิ่งถูกคนร้ายลอบวางระเบิดรถยนต์ขณะเดินทางออกไปบิณฑบาตจนมรณภาพทั้งสองรูป
"วัดสวนแก้ว" นั้นหากจะบอกว่าตั้งอยู่กลางชุมชนมุสลิมก็คงไม่ผิด เพราะที่ดินรอบๆ วัดมีแต่บ้านเรือนและสวนยางพาราของพี่น้องที่นับถือศาสนาอิสลาม ไม่มีบ้านของพี่น้องไทยพุทธเลยแม้แต่หลังเดียว บ้านของคนไทยพุทธที่ใกล้กับวัดที่สุดอยู่ห่างออกไปถึง 3 กิโลเมตร นี่คือภาพสะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรมอันงดงามที่เคยดำรงอยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ทว่าปัจจุบันกำลังทุกกัดเซาะทำลายจากการกระทำของผู้ก่อเหตุรุนแรง...
เมื่อผ่านขอบขัณฑสีมาเข้าไปในบริเวณวัด ภาพที่สะดุดตาหาใช่พระอุโบสถที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางแดดจ้า หากกลายเป็นรถกระบะสีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน บค 4305 ยะลา ในสภาพพังยับเยิน จอดอยู่อย่างสงบท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงัดและอึมครึม
รถยนต์คันนี้คือรถของทางวัดที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจยะลา 14 ใช้ขับพา พระสมุห์ชาตรี กันตรโต หรือ "หลวงชา" อายุ 47 ปี รักษาการเจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว และ พระธีระพงษ์ ดงมะลิ อายุ 40 ปี พระลูกวัด ออกไปบิณฑบาตที่ตลาดอำเภอยะหา และถูกลอบวางระเบิดระหว่างทาง จนทำให้พระทั้งสองรูปมรณภาพ และวัดสวนแก้วจำต้องกลายเป็นวัดร้าง เพราะมีพระจำพรรษาอยู่เพียง 2 รูปนี้เท่านั้น
ภายในวัดจึงไม่มีใครได้เห็น "ผ้าเหลือง" ที่ห่มกายภิกษุผู้สืบทอดเผยแผ่พระพุทธศาสนา จะเห็นก็แต่เพียงกองกำลังของชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) และทหารกองร้อยทหารราบที่ 1541 หน่วยเฉพาะกิจยะลา 14 ซึ่งตั้งฐานอยู่ภายในวัดเพื่อรักษาความปลอดภัย สะท้อนสถานการณ์อันพิลึกพิลั่นของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สัญลักษณ์ของศาสนาทั้งวัดและมัสยิดกลายเป็นเป้าหมายของผู้ก่อเหตุรุนแรง
เมื่อศาสนาถูกรังแก...
พระครูพุทธวีรกร รองเจ้าคณะจังหวัดยะลาฝ่ายธรรมยุต และเจ้าอาวาสวัดยะลาธรรมาราม กล่าวว่า พระวัดสวนแก้วเคยถูกคนร้ายลอบวางระเบิดมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปีที่แล้ว แต่ตอนนั้นพระไม่ได้อยู่ในรถ จึงมีแต่ทหารเสียชีวิต 3 นาย พอมาปีนี้ก็โดนอีก ไม่รู้จะว่าอย่างไรเหมือนกัน
"อาตมารู้สึกเศร้าใจ ศาสนาพุทธถูกรังแกมามาก มีพระถูกทำร้ายจำนวนมาก ผู้ที่จะบวชเป็นพระก็ไม่มี ถ้ามาบวชก็จะอยู่แค่ 15 วัน 30 วัน ที่ผ่านมามีทหารมาดูแลพระแต่ก็ป้องกันไม่ได้ทั้งหมด เพราะไม่รู้ว่าภัยจะมาถึงเมื่อไหร่ บอกตรงๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่อไหร่จะสงบสักที จะได้ประกอบศาสนกิจให้ญาติโยมได้สบายใจ"
"ปัจจุบันพระทุกวัดอยู่ด้วยความหวาดระแวงกันทั้งนั้น มีเสียงอะไรก็สะดุ้งไปหมด ทำให้ไม่มีสมาธิในการประกอบศาสนกิจ ชาวบ้านเองก็ไม่มีจิตเป็นสมาธิ อาตมาอยากขอร้องให้หันหน้ามาสามัคคีปรองดองกัน เพื่อให้ประเทศชาติเกิดความเจริญ ที่ผ่านมาทั้งพุทธทั้งอิสลามถูกกระทำมามากแล้ว อยากให้หยุดเสียที"
เป็นความรู้สึกจาก พระครูพุทธวีรกร ที่พูดแทนพระภิกษุสงฆ์ซึ่งยังคงต้องเสี่ยงอันตรายในดินแดนปลายสุดด้ามขวานของประเทศไทย!
ตำนานวัดสวนแก้ว...
"วัดสวนแก้ว" เป็นวัดเก่าแก่ของบ้านปูแล ตำบลบาโร๊ะ ในอดีตเคยเป็นวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เนื่องจาก พระครูญาณวีรคุณ (ธรัชชัย ญาณสุทโธ) พระผู้ก่อตั้งวัดสวนแก้วเชี่ยวชาญด้านการเยียวยารักษาโรคร้าย จึงมีพี่น้องทั้งไทยพุทธและมุสลิมจากทุกสารทิศเดินทางมาขอรับความช่วยเหลือ ชื่อเสียงของวัดขจรขจายไปถึงประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ถึงขั้นเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลกันมา กระทั่งพระครูมรณภาพด้วยโรคชรา ความเงียบสงบจึงเข้ามาแทนที่
นายพา หนูทอง นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) บาละ อำเภอกาบัง จังหวัดยะลา ซึ่งเป็นเขตติดต่อกับอำเภอยะหา เล่าว่า วัดสวนแก้วเป็นวัดพี่วัดน้องกับวัดคชศิลาวนาราม ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอกาบัง เพราะเป็นวัดที่พระครูญาณวีรคุณสร้างเอาไว้เช่นกัน โดยพระครูสร้างวัดสวนแก้วขึ้นก่อน และท่านเห็นว่าพี่น้องไทยพุทธในพื้นที่ตำบลบาละมีอยู่เป็นจำนวนมาก ท่านจึงตัดสินใจสร้างวัดคชศิลาวนารามขึ้นอีกวัดหนึ่ง แต่ท่านยังคงเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนแก้วอยู่ เมื่อท่านสิ้นบุญไป ทางคณะสงฆ์จึงได้นิมนต์ให้ พระสมุห์ชาตรี ไปเป็นรักษาการเจ้าอาวาสวัดสวนแก้วแทน และภายหลังพระธีระพงษ์ซึ่งเป็นชาวจังหวัดชุมพร ได้อาสาไปจำพรรษาอยู่ที่วัดสวนแก้วด้วยอีกรูปหนึ่ง
"เมื่อเกิดเหตุร้ายกับพระทั้งสองรูป พวกเราชาวบาละจึงรู้สึกเสียใจ เพราะวัดสวนแก้วกับวัดคชศิลาวนารามเป็นวัดพี่วัดน้องกัน จริงๆ แล้วก่อนเกิดเหตุเพียงไม่กี่วัน ทางวัดคชศิลาวนารามได้นิมนต์หลวงชากับพระธีระพงษ์ให้มาร่วมงานบุญวันวิสาขบูชา (วันที่ 17 พ.ค.) ที่วัดคชศิลาฯด้วย แต่ก็มาเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นเสียก่อน สร้างความสะเทือนใจให้กับคนในพื้นที่อย่างมาก ทั้งพี่น้องพุทธและมุสลิมไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้นเลย" นายพา กล่าว
เหตุร้ายกดดันชาวบ้านห่างวัด...
นางสุดา นาคสิริ วัย 45 ปี หรือที่ชาวบ้านบาโร๊ะเรียกกันติดปากว่า "เจ๊ะมีเนาะ" เล่าว่า รู้จักกับพระที่มรณภาพทั้งสองรูปเป็นอย่างดี เพราะสมัยก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบก็ไปทำบุญที่วัดสวนแก้วตลอด แต่พอมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นในพื้นที่ก็ไม่กล้าไปอีกเลย
"หลังเกิดเหตุระเบิด รู้สึกว่ากำลังใจที่มีน้อยอยู่แล้วเหลือน้อยเต็มที เพราะกลัวและตกใจมาก ยิ่งมาทำกับพระยิ่งรับไม่ได้ ที่ผ่านมาก็พยายามเปลี่ยนวิถีชีวิต แทนที่จะออกกรีดยางตอนเช้ามืดตี 4 ตี 5 ก็ต้องออกจากบ้านตอนสว่างแล้ว น้ำยางก็ได้น้อยลง รายได้ก็น้อยลงตาม ลูกก็ยังต้องเรียน แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร" สุดา บอก
จากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น ประกอบกับเส้นทางไปสู่วัดสวนแก้วค่อนข้างเปลี่ยว เต็มไปด้วยสวนยางพาราและป่าไผ่ ทำให้พี่น้องไทยพุทธหลายคนเลือกไปทำบุญที่วัดอื่นในตลาดยะหา และนั่นจึงเป็นเหตุผลให้หลวงชากับพระธีระพงษ์ต้องเดินทางออกไปรับบาตรไกลถึงในตลาด เพราะไม่อยากงดเว้นกิจของสงฆ์ กระทั่งเกิดเรื่องเศร้าสลดตามมา
จากการสอบถามชาวบ้านในพื้นที่ ทุกคนยืนยันว่าตำบลบาโร๊ะไม่ค่อยมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นบ่อยนัก ชาวบ้านทั้งไทยพุทธและมุสลิมอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ไม่เคยมีปัญหาต่อกันเลย หลายคนรวมทั้งสุดาจึงเชื่อว่าเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำจากคนนอกพื้นที่
"เพื่อนบ้านที่เป็นมุสลิมก็เข้าใจกันดี เพราะเราอาศัยอยู่ที่นี่มานาน เราก็เข้าใจเขา เขาก็เข้าใจเรา ต่างคนต่างเข้าใจซึ่งกันและกัน แต่ที่กลัวคือคนนอกที่ไม่รู้จักเรา คนนอกที่ไม่รู้อะไร คิดว่าตอนนี้คนที่เข้ามาสร้างสถานการณ์เป็นคนนอกพื้นที่" สุดา กล่าวเสียงเครียด
"บาโร๊ะ" พื้นที่เฝ้าระวัง...
อย่างไรก็ดี สถานการณ์ของตำบลบาโร๊ะที่มองจากสายตาของเจ้าหน้าที่รัฐดูจะแตกต่างออกไป โดย นายจักรรัตน์ มาสบดี ปลัดอำเภอยะหา รับผิดชอบตำบลบาโร๊ะ กล่าวว่า อำเภอยะหามีพื้นที่เฝ้าระวังอยู่ 3 ตำบล คือ ตำบลบาโร๊ะ ตำบลปะแต และ ตำบลละแอ เพราะมีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นต่อเนื่องมา แต่ทุกวันนี้ตำบลปะแตกับตำบลละแอมีเหตุร้ายเบาบางลงมาก เหลือแต่ตำบลบาโร๊ะที่ยังเกิดเหตุอยู่ตลอด เนื่องจากยังมีแกนนำก่อความไม่สงบคนสำคัญจากตำบลปะแตเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ตำบลบาโร๊ะ
"เหตุการณ์ครั้งนี้เรารู้มาก่อนล่วงหน้า แต่ไม่รู้จุดที่ชัดเจน ถ้าเทียบระหว่างคนที่จ้องจะก่อเหตุกับคนเฝ้าระวัง คนที่เฝ้าระวังย่อมเสียเปรียบมากกว่า เพราะฝ่ายที่จ้องจะทำสามารถหาโอกาสลงมือตอนไหนก็ได้ เหตุการณ์ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน คนร้ายนำระเบิดมาวางไว้นานแล้ว เพราะมีหญ้าขึ้นบนสายไฟที่ใช้จุดชนวน จริงๆ หลังจากได้รับข้อมูลการข่าว เราก็พยายามทำเต็มที่ ก่อนจะพาพระออกบิณฑบาต ทหารก็มีชุดลาดตระเวนเดินเท้าออกตรวจตราล่วงหน้าก่อนทุกวันทั้งไปและกลับ แต่ทางฝ่ายผู้ก่อการก็หาจังหวะก่อเหตุจนได้" ปลัดอำเภอยะหา บอก
สิ้นพระ-ทหารยิ่งต้องอยู่...
แม้วัดสวนแก้วต้องกลายเป็นวัดร้างผ้าเหลือง แต่ทหารจากหน่วยเฉพาะกิจยะลา 14 ก็ยังคงต้องปฏิบัติภารกิจรักษาความปลอดภัยภายในวัดและพื้นที่โดยรอบต่อไป
ร.ต.ประชา จันทรสุริย์ ผู้บังคับหมวด กองร้อยทหารพราบที่ 1541 หน่วยเฉพาะกิจยะลา 14 บอกว่า กำลังพลของกองร้อยยังต้องปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ โดยเฉพาะการดูแลความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบ เพียงแต่ตัดภารกิจการรับพระเดินทางออกบิณฑบาตไปเท่านั้น
"ยิ่งเกิดเหตุรุนแรงขึ้นเรายิ่งต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ เพราะชาวบ้านรู้สึกขวัญเสีย หากเรายังอยู่จะทำให้ชาวบ้านอุ่นใจขึ้นได้บ้าง" ร.ต.ประชา กล่าว
ความหวาดกลัวสะท้อนชัดจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของคนในพื้นที่ จากที่บนถนนเวลา 3-4 ทุ่มเคยมีรถราแล่นสวนกันไปมาบ้าง แต่ขณะนี้แค่ทุ่มเดียวก็เก็บตัวเงียบอยู่ในบ้านกันหมดแล้ว
ร.ต.ประชา เล่าให้ฟังอีกว่า รถกระบะสีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน บค 4305 ยะลา คันที่ถูกลอบวางระเบิดนั้น เป็นรถยนต์ที่ทางวัดซื้อมาแทนคันเก่าที่เคยโดนระเบิดเมื่อ 10 เดือนก่อนหน้านี้ (2 ก.ค.2553) ครั้งนั้นมีกำลังพลของทหารเสียชีวิตไป 3 นาย รถพังยับเยิน แต่ยังโชคดีที่ไม่มีพระนั่งอยู่ในรถ หลังจากนั้นทางวัดจึงได้ซื้อรถคันนี้มาแทน แต่ก็เกิดเหตุรุนแรงขึ้นอีกจนได้ และคราวนี้พระต้องมรณภาพไปด้วย
ระวัง "คนคิดแทน" ล้างแค้นข้ามศาสนา...
หลังเกิดเหตุร้ายกับวงการสงฆ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เที่ยวล่าสุด ทางจังหวัดยะลาได้ขอให้พระงดออกบิณฑบาตชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย ทำให้ นายอนุศาสตร์ สุวรรณมงคล สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) สายสรรหา จาก จ.ปัตตานี เดินทางเข้าพื้นที่เป็นตัวแทนของนักศึกษาหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) รุ่นที่ 15 มอบเงินในโครงการตักบาตรพระภิกษุสงฆ์ให้กับวัดในอำเภอยะหาและใกล้เคียงรวม 4 วัด คือ วัดสวนแก้ว ตำบลบาโร๊ะ อำเภอยะหา วัดวงกตบรรพต ตำบลตาชี อำเภอยะหา วัดประชาธรรม ในเขตเทศบาลตำบลยะหา และวัดคชศิลาวนาราม ตำบลบาละ อำเภอกาบัง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า
นายอนุศาสตร์ มองว่า เหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นเป็นสัญญาณของการแก้แค้นระหว่างกัน โดยใช้บุคคลที่เป็นตัวแทนศาสนาเป็นสัญลักษณ์ เพราะเหตุรุนแรงครั้งนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องจากเหตุอื่นๆ ก่อนหน้าอย่างชัดเจน
"จริงๆ แล้วทั้งพี่น้องไทยพุทธและมุสลิมไม่มีใครต้องการให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้น แต่ที่สำคัญคือมีคนคิดแทน จุดนี้เป็นปัญหาใหญ่ เพราะญาติหรือบุตรหลานของผู้สูญเสียอาจจะไม่ได้คิดอะไร คือรู้สึกเสียใจแต่ก็อโหสิกรรม แต่ขณะเดียวกันกลับมีคนคิดแทนพวกเขา และผมเชื่อว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้"
"เหตุการณ์ที่เกิดกับพระ แม้จะยังไม่มีใครยืนยันว่าเกี่ยวข้องกับการแก้แค้นเชิงสัญลักษณ์หรือไม่ หรือเกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ร้ายอื่นๆ หรือเปล่า แต่ก็เห็นได้ชัดว่าก่อนเกิดเหตุครั้งนี้เพิ่งมีการปะทะในพื้นที่อำเภอยะหา (เจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรมผู้ค้ายาเสพติดซึ่งเกี่ยวพันกับกลุ่มก่อความไม่สงบ) และยังมีเหตุการณ์กราดยิงสามแม่ลูกที่ตำบลปูยุด อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี รวมทั้งเหตุการณ์กราดยิงร้านน้ำชาที่บ้านกาโสด อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา ซึ่งหลังจากกราดยิงร้านน้ำชาก็มีการฆ่าเผาสองสามีภรรยาไทยพุทธด้วย" นายอนุศาสตร์ กล่าว และว่าอยากให้ทุกฝ่ายออกมาช่วยกันประณามการกระทำรุนแรงในลักษณะนี้ เพื่อใช้กระแสและพลังของภาคประชาชนกดดันไม่ให้เกิดเหตุร้ายอีกต่อไป...
แม้ถนนลูกรังสลับลาดยางสายเปลี่ยวที่ลัดเลาะออกจากวัดสวนแก้วจะยังคงเป็นถนนสายเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วในวันนี้คือวัดสวนแก้วไม่มีพระสงฆ์เป็นศูนย์รวมจิตใจ และความหลากหลายทางวัฒนธรรมกับความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องประชาชนสองศาสนากำลังถูกทำลายให้สะบั้น...อย่างยากที่จะหวนคืนกลับมาดังเดิม!
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
- ป้ายบอกทางไปวัดสวนแก้วริมถนนลูกรังสายเปลี่ยว
- อุโบสถตั้งตระหง่านในความเงียบสงัด
- รั้ววัดที่มิอาจกั้นภยันตราย
อ่านประกอบ : บึ้มถังแก๊สที่ยะหา ทหารพลีชีพอีก 3
http://www.south.isranews.org/other-news/416---3-.html