ย้อนรอยเหตุ "พระสงฆ์" เหยื่อไฟใต้...จากตอกลิ่มศาสนาถึงแก้แค้นเชิงสัญลักษณ์
การก่อเหตุรุนแรงโดยกระทำต่อพระภิกษุในบวรพุทธศาสนาก่อนวันวิสาขบูชาเพียง 1 วัน กระทั่งมีพระสงฆ์มรณภาพถึง 2 รูป คือการอธิบายสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ ขณะนี้ได้เป็นอย่างดีว่าอยู่ในภาวะวิกฤติมากขนาดไหน
แน่นอนว่าเหตุลอบวางระเบิดรถยนต์ของทหารชุดคุ้มครองพระสงฆ์ที่ อ.ยะหา จ.ยะลา เมื่อเช้ามืดของวันจันทร์ที่ 16 พ.ค.2554 ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีภิกษุตกเป็นเหยื่อความรุนแรง แต่ก็นับเป็นครั้งที่น่าเศร้าสลดที่สุดครั้งหนึ่งเพราะมีพระต้องมรณภาพถึง 2 รูปในคราวเดียว
ที่น่าตระหนกก็คือในรอบ 6 เดือนมานี้มีเหตุร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่พุ่งเป้ากระทำต่อพระสงฆ์และกำลังพลชุดคุ้มครองพระจนมีความสูญเสียเกิดขึ้นถึง 4 ครั้งด้วยกัน ได้แก่
วันเสาร์ที่ 18 ธ.ค.2553 คนร้ายบุกยิงทหารชุดรักษาความปลอดภัยพระ (ชุด รปภ.พระ) เสียชีวิต 2 นายในเขต อ.เมือง จ.ยะลา ทำให้พระได้รับบาดเจ็บ 1 รูป
วันศุกร์ที่ 28 ม.ค.2554 คนร้ายลอบวางระเบิดชุด รปภ.พระกลางเมืองปัตตานี เป็นเหตุให้พระบาดเจ็บ 1 รูป กำลังพลบาดเจ็บ 5 นาย
วันเสาร์ที่ 5 มี.ค.2554 คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงพระสงฆ์และสามเณรในท้องที่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ทำให้พระมรณภาพ 1 รูป พระและสามเณรบาดเจ็บอีก 2 รูป
วันจันทร์ที่ 16 พ.ค.2554 คนร้ายลอบวางระเบิดรถยนต์ของทหารชุดคุ้มครองพระ ทำให้พระมรณภาพอีก 2 รูป กำลังพลบาดเจ็บสาหัส 2 นาย
ระยะเวลาแค่ 6 เดือนมีพระต้องมรณภาพเพราะเหตุรุนแรงที่ชายแดนใต้แล้ว 3 รูป บาดเจ็บ 3 รูป และสามเณรบาดเจ็บอีก 1 รูป ส่วนกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่คุ้มครองพระสงฆ์ เสียชีวิต 2 นาย บาดเจ็บ 7 นาย ทั้งหมดเป็นทหาร โดยเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงเช้าตรู่ ซึ่งเป็นเวลาที่พระต้องออกบิณฑบาตทุกวันตามกิจของสงฆ์
ก่อนหน้านั้นราวปีเศษ คือเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.2552 คนร้ายใช้อาวุธปืนอาก้า และ 9 ม.ม. ยิงพระภิกษุขณะออกบิณฑบาตเช่นกัน ทำให้พระมรณภาพ 1 รูป และบาดเจ็บสาหัสอีก 1 รูป เหตุเกิดในเขต อ.เมือง จ.ยะลา
เมื่อวันที่ 13 ต.ค.2551 คนร้ายลอบวางระเบิดดักสังหารทหารชุดคุ้มครองพระขณะอารักขาพระสงฆ์ออกบิณฑบาต เหตุเกิดบริเวณหลังโรงพักบาเจาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส แต่ชาวบ้านรับเคราะห์แทน ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย
หากย้อนกลับไปในรอบ 7 ปีไฟใต้ นับตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา จะพบว่ามีเหตุรุนแรงที่กระทำต่อพระภิกษุหลายสิบครั้ง โดยจากสถิติที่ฝ่ายสงฆ์เก็บรวบรวมเอาไว้ พบว่าในปี 2547 เกิดเหตุระเบิดระหว่างพระออกบิณฑบาต 3 ครั้ง ทำร้ายพระอีก 3 ครั้ง และวางเพลิงเผาวัด 1 ครั้ง ส่งผลให้มีพระสงฆ์มรณภาพ 3 รูป บาดเจ็บ 1 รูป
ปี 2548 มีเหตุระเบิดระหว่างพระออกบิณฑบาตจำนวน 7 ครั้ง ทำร้ายพระ 1 ครั้ง และวางเพลิงอีก 1 ครั้ง มีพระสงฆ์มรณภาพ 2 รูป บาดเจ็บ 6 รูป ซึ่งรวมถึงเหตุการณ์บุกสังหารพระและเด็กวัดถึงในวัดพรหมประสิทธิ์ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี เมื่อ 16 ต.ค.2548 ด้วย
ปี 2549 เป็นปีที่มีเหตุร้ายกับพระสงฆ์บ่อยครั้งที่สุด เฉพาะช่วงเดือน เม.ย.ถึง พ.ย. แค่ จ.นราธิวาสจังหวัดเดียว มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับวัดและพระสงฆ์ถึง 6 ครั้ง แยกเป็นเหตุการณ์ลอบยิงเข้าไปในวัด 4 ครั้งแต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ และลอบวางระเบิดพระขณะออกบิณฑบาตอีก 2 ครั้ง มีพระบาดเจ็บรวม 6 รูป
การก่อเหตุรุนแรงต่อพระภิกษุซึ่งเป็นหนึ่งใน "พระรัตนตรัย" หรือแก้วสามประการอันเป็นที่เคารพสักการะสูงสุดของพุทธศาสนิกชน คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ชัดเจนว่าเป็นความพยายาม "ตอกลิ่ม" ให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนสองศาสนาคือ "พุทธ" กับ "มุสลิม" ในจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่การเกิดเหตุร้ายในห้วง 4-5 ปีแรกของสถานการณ์ไฟใต้ กับห้วง 2-3 ปีหลังมานี้มีข้อน่าสังเกตที่แตกต่างกันพอสมควร กล่าวคือเหตุรุนแรงที่กระทำต่อพระและวัดในช่วงแรกเป็นการก่อเหตุแบบ "ปูพรม" เพื่อทำลายขวัญทั้งพระและพุทธศาสนิกชนไม่ให้กล้าอยู่ในพื้นที่ต่อไป หรือหากอยู่ก็จะเกิดอันตราย โดยแต่ละเหตุการณ์ไม่ได้มีเป้าประสงค์หรือเชื่อมโยงกับเหตุร้ายอื่นๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นเป็นพิเศษ
ปฏิบัติการของกลุ่มขบวนการก่อความไม่สงบนับว่าประสบผลตามเป้าหมาย เพราะมีวัดและสำนักสงฆ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ "ร้าง" เป็นจำนวนมาก ถึงขั้นที่รัฐบาลต้องจัดโครงการ "พระสงฆ์นำชัยคุ้มภัยใต้" เพื่อนิมนต์พระจำนวนเกือบ 400 รูปลงไปจำพรรษาตามวัดและสำนักสงฆ์ต่างๆ ช่วงเข้าพรรษาปี 2550
ห้วงเวลานับจากนั้น เหตุร้ายที่กระทำต่อพระและวัดดูจะลดความถี่ลงไป กระทั่งเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธสงครามกราดยิงพระมรณภาพ 1 รูป และได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก 1 รูป เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.2552 จึงทำให้วงการสงฆ์สั่นสะเทือนอีกครั้ง
ทว่าเหตุรุนแรงในครั้งนั้นมีข้อน่าสังเกตก็คือ เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์คนร้ายใช้อาวุธสงครามบุกยิงพี่น้องมุสลิมถึงภายในมัสยิดอัลฟุรกอน บ้านไอร์ปาแย ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เสียชีวิตถึง 10 ราย บาดเจ็บอีก 12 รายเพียง 4 วัน โดยเหตุร้ายที่มัสยิดอัลฟุรกอนเกิดขึ้นเมื่อค่ำวันที่ 8 มิ.ย.2552
หลายฝ่ายวิเคราะห์ตรงกันว่า นี่คือปฏิบัติการล้างแค้นเชิงสัญลักษณ์!
เช่นเดียวกับเมื่อวันเสาร์ที่ 5 มี.ค.2554 หรือราวๆ 2 เดือนเศษที่ผ่านมา ซึ่งคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงพระสงฆ์และสามเณรในท้องที่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ทำให้พระมรณภาพ 1 รูป และมีพระกับสามเณรได้รับบาดเจ็บอีก 2 รูป ก็เป็นเหตุที่เกิดขึ้นหลังจากมีคนร้ายลอบยิงอิหม่ามประจำมัสยิดอัสลาม บ้านป่าอ้อย หมู่ 2 ต.ปากล่อ อ.โคกโพธิ์ เสียชีวิต และคอเต็บประจำมัสยิดเดียวกันได้รับบาดเจ็บเพียง 2 วัน
เป็นเหตุรุนแรงที่เกิดในอำเภอเดียวกัน และต่อเนื่องกันอย่างน่าตกใจ...
และเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อวานนี้ กรณีคนร้ายลอบวางระเบิดรถยนต์ของทหารชุดคุ้มครองพระ ทำให้พระมรณภาพอีก 2 รูป ในท้องที่ อ.ยะหา แม้จะยังไม่มีฝ่ายใดยืนยันว่าเกี่ยวข้องกันหรือไม่ แต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงวิสามัญฆาตกรรมผู้ค้ายาเสพติดรายหนึ่งเมื่อคืนก่อนหน้านั้นในพื้นที่ อ.ยะหา ซึ่งผู้ตายมีข้อมูลเชื่อมโยงว่าน่าจะเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับกลุ่มก่อความไม่สงบด้วย อีกทั้งก่อนหน้านั้นยังมีกรณีคนร้ายใช้อาวุธสงครามกราดยิงเข้าไปในร้านน้ำชาในท้องที่บ้านกาโสด ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จ.ยะลา จนมีพี่น้องมุสลิมเสียชีวิตถึง 4 ราย บาดเจ็บอีกนับสิบ เมื่อค่ำวันที่ 3 พ.ค.ที่ผ่านมา
นายอนุศาสตร์ สุวรรณมงคล สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) สายสรรหาจาก จ.ปัตตานี กล่าวว่า เหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ขณะนี้ หลายเหตุการณ์เกิดขึ้นในลักษณะต่อเนื่องจากเหตุการณ์หนึ่งไปสู่อีกเหตุการณ์หนึ่ง อย่างเหตุลอบวางระเบิดรถของทหารชุดคุ้มครองพระที่ อ.ยะหา ก็แน่นอนว่าเป็นการก่อเหตุที่ต่อเนื่องมาจากเหตุรุนแรงก่อนหน้านี้
"รูปแบบของการก่อเหตุลักษณะนี้กำลังบานปลายและขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ จากที่คนร้ายก่อเหตุเพื่อต้องการสร้างความแตกแยกระหว่างคนสองศาสนาในพื้นที่ แต่ระยะหลังเริ่มมีลักษณะของการก่อเหตุเพื่อล้างแค้น และสุดท้ายคนที่ได้รับผลกระทบคือประชาชนผู้บริสุทธิ์ กับพระสงฆ์ซึ่งท่านไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความไม่สงบเลยแม้แต่น้อย แต่ต้องมาตกเป็นเหยื่อเพราะการก่อเหตุตอบโต้กันไปมา"
นายอนุศาสตร์ ซึ่งมีพื้นเพเป็นชาว จ.ปัตตานี ประเมินด้วยว่า หลังจากนี้พี่น้องทั้งไทยพุทธและมุสลิม รวมถึงบุคคลที่เป็นตัวแทนของศาสนาอย่าง "พระ" และ "โต๊ะอิหม่าม" มีโอกาสตกเป็นเหยื่อความรุนแรงทางอ้อมมากขึ้น สิ่งเดียวที่จะยุติสถานการณ์นี้ไม่ให้บานปลายต่อไปคือ ต้องสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นจริง และอย่าใช้ "กฎหมู่" อยู่เหนือ "กฎหมาย"
ไม่เช่นนั้นปัญหาจะยิ่งบานปลายและแตกกิ่งก้านสาขายิ่งกว่าปัจจุบัน!
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : พิธีศพพระสงฆ์ที่ถูกระเบิดมรณภาพที่ อ.ยะหา จ.ยะลา