สถาบันแพทย์ฉุกเฉินจัดตรวจรถกู้ชีพ 1 พันคัน ‘นพ.ชาตรี’ ย้ำทุกคันต้องได้มาตรฐาน
สถาบันแพทย์ฉุกเฉินตรวจทะเบียนรถกู้ชีพกทม. 10-11 พ.ย. 55 ‘นพ.ชาตรี’ ย้ำ 1 พันคันต้องผ่านมาตรฐาน ทั้งสภาพรถ-อุปกรณ์ช่วยเหลือ สร้างความมั่นใจ-ช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินตามประสิทธิภาพ
สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมขนส่งทางบก จัดขึ้นทะเบียนรถปฏิบัติการฉุกเฉิน (FR) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ภายใต้โครงการ ‘คนกทม. รอดปลอดภัย เทิดไท้องค์ราชัน 85’ โดยนพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการสพฉ. กล่าวว่า จะจัดตรวจรถปฏิบัติการฉุกเฉินให้ถูกต้อง ได้มาตรฐาน เพื่อเตรียมรับมือกับเหตุฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยตั้งเป้ารถปฏิบัติการฉุกเฉินที่อยู่ในพื้นที่กทม. กว่า 1,000 คัน ต้องผ่านมาตรฐานทั้งหมด สำหรับรถกู้ชีพที่เข้าตรวจจะต้องผ่านการตรวจหลักฐานทะเบียนรถ ภาพถ่ายรถ หนังสือรับรองจากต้นสังกัด การตรวจไฟวับวาบ ตรวจสภาพรถ และไฟสัญญาณที่ต้องเป็นไปตามเกณฑ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมกันนี้จะมีการตรวจอุปกรณ์มาตรฐานรถปฏิบัติการฉุกเฉินด้วย ก่อนที่จะมีการออกหนังสือพร้อมสติ๊กเกอร์รับรองมาตรฐาน
โดยรถที่ผ่านมาตรฐานและหลักเกณฑ์ของระบบการแพทย์ฉุกเฉินนั้น จะต้องเป็นรถยนต์ตู้ หรือรถกระบะบรรทุกที่มีทะเบียนยานพาหนะถาวร มีหลังคาสูงเพียงพอที่จะทำการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) ได้สะดวก ห้องคนขับและห้องพยายาลแยกออกจากกัน แต่สามารถสื่อสารกันได้ มีแสงสว่างเพียงพอที่จะทำหัตถการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉิน ที่สำคัญคือมีที่ว่างสำหรับจัดวางเตียงพร้อมผู้ป่วยฉุกเฉินนลักษณะนอนราบ และมีระบบระบายอากาศ และกระจกหลังต้องมีการติดข้อความชื่อหน่วยปฏิบัติการ หมายเลขโทรศัพท์ 1669 ด้านข้างช่วงหลังทั้งสองข้างต้องแสดงตราสัญลักษณ์ของ สพฉ. และจะต้องติดแถบสะท้อนแสงด้านข้างรถตลอดแนว
เลขาธิการสพฉ. กล่าวต่อว่า ส่วนผู้ปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินจะต้องสวมใส่ชุดสีขาวที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ คือติดป้ายสัญลักษณ์ของสพฉ. บริเวณแขนเสื้อและหลังเสื้อ ติดแถบสะท้อนแสง เพื่อให้ประชาชนและผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับรู้ถึงการเป็นผู้ปฎิบัติการที่มีความรู้ความสามารถ และมีศักยภาพในการให้ความช่วยเหลือได้ นอกจากนี้ผู้ปฎิบัติการที่เป็นอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนที่ฝึกการอบรม และขึ้นทะเบียนในระบบการแพทย์ฉุกเฉินแล้วสามารถปักชื่อ นามสกุล และอักษรย่อลงไปในเครื่องแต่งกายได้ด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ป่วยฉุกเฉินมากขึ้น
ส่วนอุปกรณ์ภายในรถปฏิบัติการฉุกเฉินเบื้องต้นนั้น ถือว่ามีความสำคัญมาก โดยอุปกรณ์จะต้องจัดอยู่ในสภาพเรียบร้อย สะอาด กรณีที่เป็นสิ่งปฏิกูลหรือสิ่งที่อาจทำให้ติดเชื้อ จะต้องมีการจัดแยกให้ถูกสุขลักษณะ รวมถึงจัดให้เป็นระเบียบ เพียงพอ พร้อมใช้งานอยู่ตลอดเวลา มีอุปกรณ์สื่อสารเพื่อใช้ในการติดต่อ มีระบบการรับสัญญาณเตือนภัย และระบบข่าวสารการแพทย์ฉุกเฉิน และที่สำคัญอุปกรณ์ทางการแพทย์ภายในรถจะต้องมีการจัดแบ่งไว้เป็นชุด โดยอาจจะบรรจุภาชนะหีบห่อเพื่อการใช้งานตามความจำเป็นกับเหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นด้วย โดยอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็น อาทิ เฝือกคอชนิดแข็ง (Hard collar) ไม่น้อยกว่า 3 ขนาดและสามารถปรับขนาดได้ มีเฝือกดามแขน ขา มีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลและทำแผลพื้นฐาน ถุงมือปราศจากเชื้อ สำลี ผ้าพันแผล น้ำเกลือ อุปการณ์ล้างตา เครื่องดูดเสมหะชนิดบีบมือ ที่หนีบสายสะดือ เป็นต้น นอกจากนี้ต้องมีอุปกรณ์กู้ภัยเบื้องต้น เช่น ขวานขนาดใหญ่ เชือกคล้องตัว อุปกรณ์ยึดเหนี่ยว กรรไกรตัดเหล็กขนาดใหญ่ อุปกรณ์ดับเพลิง
“เราจัดโครงการนี้ขึ้นเพราะเราเชื่อว่าชีวิตของประชาชนทุกคนมีความสำคัญ โดยเมื่อประสบเหตุฉุกเฉินทุกคนจะต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างทันที และประชาชนทุกคนสามารถมั่นใจในระบบการทำงานของผู้ปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉิน รวมถึงรถและอุปกรณ์ทางการแพทย์ฉุกเฉิน ว่าพร้อมในการให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ มีคุณภาพ และได้มาตรฐาน ซึ่งประชาชนสามารถเรียกใช้บริการสายด่วน 1669 ได้ทุกครั้งโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เมื่อประสบอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง” นพ.ชาตรีกล่าว
ทั้งนี้สามารถนำรถปฏิบัติการกู้ชีพมารับการตรวจมาตรฐานเพื่อขึ้นทะเบียนในวันที่ 10-11 พ.ย.2555 ที่อาคารสพฉ. เวลา 8.30-12.00 น.
