"ยิงพระ-ฆ่าอิหม่าม" จุดชนวนขัดแย้งศาสนา และน้ำตาของมารดาพระอภิชัย
เหตุการณ์คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงพระสงฆ์ และสามเณรมรณภาพและได้รับบาดเจ็บรวม 3 รูปขณะออกบิณฑบาตบนถนนสายโคกโพธิ์–บางโกระ ท้องที่บ้านโคกโพธิ์ หมู่ 7 ต.โคกโพธิ์ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เมื่อวันเสาร์ที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา ทำให้สถานการณ์ที่ปลายด้ามขวานร้อนระอุขึ้นมาอีกระลอก
เป็นความร้อนระอุในบริบทของการก่อเหตุรุนแรงเพื่อ "ตอกลิ่ม" ให้เกิดความขัดแย้งของผู้คนสองศาสนา!
เพราะเหตุรุนแรงครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์คนร้ายใช้รถกระบะเป็นพาหนะ ลอบยิง นายเจ๊ะอาลี จิยีมะ อายุ 54 ปี โต๊ะอิหม่ามประจำมัสยิดอัสลาม (ปาแดตืองู ) บ้านป่าอ้อย บ้านย่อยของบ้านคลองหิน หมู่ 2 ต.ปากล่อ อ.โคกโพธิ์ เสียชีวิต และนายอุเซ็งตาแง เซ็งตาเห อายุ 66 ปี คอเต็บประจำมัสยิดเดียวกัน ได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 3 มี.ค.หรือเพียง 2 วันก่อนหน้า
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอำเภอเดียวกัน และที่สำคัญคือ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่ง "สามวัฒนธรรม" คือมุสลิม พุทธ และชาวไทยเชื้อสายจีน ที่อยู่ร่วมกันอย่างสมัครสมานกลมเกลียวมาเนิ่นนาน และเป็นหนึ่งใน "อำเภอสันติสุข" ของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้แม้ในห้วงเวลาที่ "ไฟใต้" กำลังคุโชน
"พุทธ-มุสลิม"หวาดระแวง ปิดประตูบ้านใส่กัน
นายอนุศาสตร์ สุวรรณมงคล อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) สายสรรหาจาก จ.ปัตตานี มองว่า เหตุยิงพระครั้งนี้นับว่าชัดเจนที่สุด และไม่สามารถคิดเป็นอื่นได้เลยนอกจากการแก้แค้น และตอกลิ่มระหว่างคนสองศาสนา
"ที่ผ่านมาเราอาจคิดได้ว่าเหตุที่เกิดขึ้นกับพระเป็นแค่ลูกหลง คนร้ายมีเป้าหมายคือเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่พระ เช่น เหตุยิงทหารชุดคุ้มครองพระเสียชีวิต 2 นายขณะปฏิบัติหน้าที่คุ้มกันพระออกบิณฑบาตที่ อ.เมือง จ.ยะลา เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.2553 หรือเหตุลอบวางระเบิดชุดคุ้มครองพระจนกำลังพลบาดเจ็บ 5 นาย และพระสงฆ์บาดเจ็บอีก 1 รูปที่ อ.เมืองปัตตานี เมื่อวันที่ 28 ม.ค.2554 แต่ครั้งนี้ไม่มีกำลังรักษาความปลอดภัย พระก็ยังโดนทำร้าย"
"สาเหตุมันชัดเจนว่าเป็นการก่อเหตุเพื่อตอบโต้ กรณีคนร้ายยิงโต๊ะอิหม่ามกับคอเต็บประจำมัสยิดอัสลาม เมื่อวันที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมา แม้เหตุการณ์ยิงพระครั้งนี้ ไม่มีอะไรที่แสดงสัญลักษณ์ชัดเจนว่าคือการตอบโต้ แต่ก็มีปัจจัยที่ทำให้เราสามารถคิดได้ว่าเป็นการตอบโต้ เพราะทั้งสองเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นห่างกันเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น และกลุ่มที่ก่อเหตุก็แน่นอนว่า เป็นกลุ่มก่อความไม่สงบที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน"
"ขณะนี้หลายๆ อย่างชัดเจนขึ้น เพราะทั้งหมดคือการขยายพื้นที่ความรุนแรงให้กว้างกว่าในอดีต ทั้งพื้นที่เชิงกายภาพและกลุ่มคน การก่อเหตุที่เป็นลักษณะของการตอบโต้มันเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ก็อย่างที่เคยพูดบ่อยๆ ว่าต่อไปจะขยายวงกว้างขึ้น และเป้าหมายที่อ่อนแอคือเป้าหมายที่น่ากลัวที่สุด"
นายอนุศาสตร์ กล่าวต่อว่า ทางออกของปัญหานี้คือทุกคนต้องออกมาประณามคนที่ก่อเหตุ ทั้งผู้นำศาสนา ภาคประชาสังคมต้องช่วยกัน เนื่องจากคนร้ายต้องการสร้างความแตกแยก ต้องการทำลายสังคมวัฒนธรรมของการอยู่ร่วมกัน และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะกับพระ หรือโต๊ะอิหม่าม ได้สร้างความสะเทือนใจให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างมาก
"มีพี่น้องมุสลิมใน อ.สายบุรี (อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ซึ่งเกิดความรุนแรงกับคนสองศาสนาสลับไปมาบ่อยครั้ง) เล่าให้ฟังว่า ตอนนี้พี่น้องสองศาสนาที่สายบุรีเหมือนปิดประตูบ้านใส่กันแล้ว หันหลังให้กันแล้ว ถ้าเป็นจริงก็แสดงว่าคนร้ายทำสำเร็จ"
เตือนอย่าลัดวงจรยุติธรรม
อดีตสมาชิกวุฒิสภาซึ่งเป็นคนปัตตานี กล่าวด้วยว่า กรณีสังหารคนในศาสนา เป็นการก่อเหตุแค่มุมเดียวของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในพื้นที่ ยังไม่นับเหตุที่เกิดจากการผสมโรงอีก ทั้งจากขบวนการแบ่งแยกดินแดน การเมืองท้องถิ่น การเมืองส่วนกลาง ยาเสพติด และอีกหลายๆ สิ่งที่เอื้อกัน ซึ่งเป็นปัญหาที่รัฐต้องเร่งแก้ไขทุกมิติ
"จากที่ได้คุยกับหลายคนมองว่า สิ่งเดียวที่จะทำให้เหตุการณ์ยุติลงได้คือ เจ้าหน้าที่ต้องทำกฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนต้องไม่เอากฎหมายมาใช้เอง อย่าปล่อยให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย และที่สำคัญห้ามลัดวงจรกระบวนการยุติธรรมโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดวงจรแบบที่เป็นอยู่ขณะนี้ และที่วงจรแบบนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะพวกเราไปลัดกระบวนการยุติธรรม ประกอบกับบางคนมีความอดทนน้อย จนนำไปสู่ความสัมฤทธิ์ผลที่คนร้ายวางไว้" นายอนุศาสตร์ ระบุ
คนรัฐชี้วันนี้ชัดแล้ว "พระ" เป็นเป้าหมาย
ด้านความเห็นของเจ้าหน้าที่รัฐที่รับผิดชอบกิจการด้านสงฆ์โดยตรง นายธีรชิต บวรนันท์วัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดปัตตานี กล่าวว่า รู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมาพยายามคิดตลอดว่าเป้าหมายของความรุนแรงไม่ใช่พระหรือสัญลักษณ์ทางศาสนา แต่เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ทว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ขึ้น ทำให้ตกใจมาก และยิ่งเกิดในพื้นที่สามวัฒนธรรมอย่าง อ.โคกโพธิ์ ยิ่งรู้สึกแปลกใจ ไม่เคยคิดเลยว่าเหตุร้ายจะมาเกิดกับพระจริงๆ หนำซ้ำยังเป็นที่ อ.โคกโพธิ์
"จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชัดเจนว่าคนร้ายต้องการสร้างความหวาดกลัวและหวาดระแวงให้กับคนในพื้นที่ แม้เราจะพยายามคิดตลอดว่าพระไม่ใช่เป้าหมาย แต่วันนี้ชัดเจนแล้ว"
นายธีรชิต กล่าวต่อว่า แม้ช่วงที่ผ่านมา นายนิพนธ์ นราพิทักษ์กุล ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ได้ประกาศให้พระในพื้นที่งดออกบิณฑบาต แต่ในความเป็นสงฆ์ไม่อาจห้ามได้ เพราะคำประกาศของผู้ว่าฯไม่ใช่ข้อบังคับ ทำให้พระสงฆ์ยังคงออกบิณฑบาตตามปกติ เนื่องจากเป็นกิจของสงฆ์
"ผมเองก็ไม่สามารถห้ามได้ เพราะการให้พระงดบิณฑบาตไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง และไม่ใช่แนวทางแก้ไขปัญหาที่ดี ฉะนั้นเจ้าหน้าที่ต้องหาแนวทางแก้ไขกันต่อไปเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุร้ายลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก หลังจากนี้คงต้องหารือกับฝ่ายความมั่นคงเพื่อกำหนดมาตรการต่อไป" ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดปัตตานี กล่าว
ชาวบ้านเล่านาทีกราดกระสุน
ยังมีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่ซึ่งเห็นเหตุการณ์ความรุนแรงต่อหน้าต่อตา โดยคุณป้าวัย 50 ปีรายหนึ่ง เล่าว่า ในวันเกิดเหตุ (5 มี.ค.) เวลาประมาณ 06.20 น.ได้ยินเสียงปืนจากบริเวณที่พระชัย (พระอภิชัย) กับเณรช้าง (สามเณรสกน) กำลังบิณฑบาตอยู่ พอหันไปมองพร้อมกับเพื่อนบ้านอีกหลายคนก็ได้ยินเสียงร้องซ้ำๆ ว่า "พระโดนยิงๆ"
"ตอนนั้นเรามองเห็นคนร้าย เป็นช่วงที่คนร้ายเลี้ยวรถไปทางพระชาติ (พระสุชาติ) ที่กำลังเดินกลับเข้าวัดปุราณประดิษฐ์ ทันใดนั้นคนร้ายก็ใช้ปืนยิงใส่พระชาติจนล้มลง แล้วก็เร่งเครื่องรถออกไป"
"หลังจากนั้นป้าวิ่งไปดูเณรที่นอนจมกองเลือดอยู่ ก็ได้ยกร่างเณรขึ้นมา เอาจีวรมาเช็ดเลือด หันไปดูพระชัยที่นอนอยู่แต่ยังไม่เห็นเลือดออก ทุกคนก็ให้ความสนใจแต่เณร เพราะตกใจที่มีเลือดออกมาเยอะมาก ก็ได้โทรศัพท์หาเจ้าหน้าที่ แต่นานมากกว่าเจ้าหน้าที่จะมา พวกเรารอจนเสียความรู้สึก"
วิพากษ์ จนท.ทำงานแย่-เข้าที่เกิดเหตุช้า
"เราเห็นชัดเจนว่าคนร้ายมีลักษณะอย่างไร เขานั่งรถมอเตอร์ไซค์กันมา 2 คน ใส่หมวกปิดหูแต่ไม่ปิดหน้า เชื่อว่าถ้าเจ้าหน้าที่มาเร็วจะสามารถจับคนร้ายได้ แต่นี่นานมากกว่าจะมา นี่ขนาดเกิดเหตุในเขตเทศบาลนะ ถ้านอกเขตเทศบาลอย่างในหมู่บ้านคงต้องรอเป็นชั่วโมงถึงจะมาได้ สมมติว่าวันนั้นคนร้ายต้องการยิงชาวบ้านแถวนี้ด้วย ก็คงยิงชาวบ้านตายอีกเป็นสิบกว่าเจ้าหน้าที่จะมา" คุณป้าวัยกลางคนกล่าว
นางยังสะท้อนความรู้สึกอีกว่า ไม่อยากให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่เลย เพราะเดินทางเข้าที่เกิดเหตุช้ามาก พอมาถึงก็เอาแต่สอบสวนคนที่เห็นเหตุการณ์ แทนที่จะรีบวิ่งไล่จับคนร้าย แต่ก็ไม่มีเลย ทำงานแย่มาก
"เราเองก็ไม่กล้าบอกข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ด้วย เพราะกลัวว่าเมื่อบอกข้อมูลไปแล้วคนร้ายจะกลับมาทำร้ายเรากับคนในครอบครัวเราได้ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่ากลัวมาก รับไม่ได้เลย พระยังทำได้ นับประสาอะไรกับชาวบ้านตาดำๆ"
น้ำตาของมารดา"พระอภิชัย"
ขณะที่ความรู้สึกของผู้สูญเสียอย่าง อารี โรจน์รังสรรค์ อายุ 55 ปี มารดาของพระอภิชัย นางเล่าว่า มีอาชีพรับจ้างกรีดยางพาราที่บ้านนิคมโคกโพธิ์ ต.นิคมโคกโพธิ์ อ.โคกโพธิ์ มีบุตรชาย 2 คน โดยพระอภิชัยเป็นลูกคนเล็ก ส่วนพี่ชายไปรับจ้างกรีดยางที่ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช สามีแยกทางกันตั้งแต่พระอภิชัยอายุได้ 3 ขวบ เมื่อพระอภิชัยเรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย ก็ได้บวชเรียน 3 พรรษา ก่อนหน้านี้พระอภิชัยบอกกับนางว่าจะสึกในอีก 2 พรรษาหน้า เพื่อมาช่วยแม่ทำงาน
"พระชัยเป็นคนรักแม่มาก สนิทกับแม่มากกว่าพี่ชาย ที่ผ่านมาพระชัยจะโทรศัพท์คุยกับแม่เกือบทุกคืน โดยส่วนใหญ่พระชัยจะสอบถามถึงความเป็นอยู่ของแม่มากที่สุด เช่น แม่อยู่ได้ไหม เหนื่อยไหม อดทนนะแม่ ยังจำสิ่งที่ลูกพูดอยู่ทุกวันได้ดี เพราะเขาเป็นห่วงแม่ที่ต้องอยู่คนเดียว แถมยังไปรับจ้างเขากรีดยาง กลัวแม่เหนื่อย บอกรักแม่ทุกครั้งก่อนจะวางสาย"
นาทีที่รู้ข่าวว่าลูกชายคนเล็กถูกยิงคาผ้าเหลือง ทำให้คนเป็นแม่อย่างอารีตกใจแทบล้มทั้งยืน...
"ตอนไปกรีดยางไม่ได้พาโทรศัพท์ไปด้วย ไม่อย่างนั้นแม่คงตายคาสวนยางแน่ พอมีเพื่อนบ้านวิ่งมาบอกว่าพระชัยถูกยิงขณะออกบิณฑบาต ตอนนั้นแม่หน้ามืดเหมือนจะเป็นลม ตกใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่คิดเลยว่าจะมาเกิดกับครอบครัวของแม่ จากนั้นเพื่อนบ้านต้องมาช่วยกันพยุงออกไปส่ง กว่าจะไปถึงโรงพยาบาลก็เป็นลมไปแล้วหลายรอบ ยิ่งมารู้ว่าพระชัยมรณภาพไปแล้วยิ่งรู้สึกหมดแรง รู้สึกเหมือนหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว" นางกล่าวพร้อมกับร้องไห้ออกมา
ความรุนแรงครั้งแล้วครั้งเล่าที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ทำให้ผู้คนต้องสูญเสียเลือดเนื้อและหลั่งน้ำตามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน กระทั่งถึงวันที่โลหิตต้องตกเปื้อนจีวรและชุดคลุมสีขาวของอิหม่าม...
ดูเหมือนสันติสุขในดินแดนแห่งนี้ยังล่องลอยอยู่ไกลโพ้น...
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : ร่างของพระอภิชัยถูกคลุมด้วยผ้าเหลือง โดยมีมารดายืนร่ำไห้อยู่ไม่ห่าง และมี นายอนุศาสตร์ สุวรรณมงคล อดีตสมาชิกวุฒิสภา เข้าไปคอยปลอบใจ (ภาพโดย อับดุลเลาะ หวังหนิ)