คปก.ชงออก กม.ร่วมทุนกิจการรัฐ เสนอขยายขอบเขตบังคับใช้ รวมสัมปทานปิโตรฯ-แร่
วันที่ 2 พฤศจิกายน นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ได้ลงนามในหนังสือบันทึกความเห็นและข้อเสนอแนะคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายเรื่อง ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ....เสนอต่อนายกรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา ภายหลังจาก คปก.ศึกษาพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยเห็นควรให้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์ในร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวใน 2 ประเด็นหลักคือ กรณีขอบเขตการบังคับใช้ คปก.พิจารณาแล้วเห็นว่า การกำหนดข้อยกเว้นในร่างมาตรา 7 ในเรื่องการให้สัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมและการให้ประทานบัตรตามกฎหมายว่าด้วยแร่ให้ไม่อยู่ภายใต้บังคับของร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ เป็นการไม่สมควร เนื่องจากการให้สัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมและการให้ประทานบัตรตามกฎหมายว่าด้วยแร่นั้น ถือเป็นการอนุญาตให้เอกชนเข้ามาใช้ประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติของประเทศโดยมุ่งแสวงหาผลกำไร จึงควรมีการควบคุมตรวจสอบอีกขั้นตอนหนึ่ง
“อย่างไรก็ตาม หากเห็นว่าเรื่องดังกล่าวมีกฎหมายกำหนดกระบวนการพิจารณาการให้เอกชนร่วมลงทุนและการกำกับดูแลและติดตามผลการดำเนินโครงไว้อย่างเพียงพอแล้ว ก็ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขในร่างมาตรา 7 วรรคสอง ซึ่งกำหนดให้มีการตราพระราชกฤษฎีกา เพื่อยกเว้นไม่ให้นำพระราชบัญญัติฉบับนี้มาใช้บังคับแก่การเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐในเรื่องนั้น คปก.จึงเห็นควรให้มีการตัดข้อยกเว้นของร่างมาตรา 7 วรรคหนึ่งออก แต่ยังคงหลักเกณฑ์ในร่างมาตรา 7 วรรคหนึ่งไว้”
นายคณิต กล่าวว่า สำหรับมาตรา 7 วรรคสองของร่างพ.ร.บ.ฯ คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย พิจารณาเห็นว่า การกำหนดข้อยกเว้นมิให้นำ พ.ร.บ.ฉบับนี้มาใช้บังคับหากมีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์ไว้เป็นการเฉพาะ ก็หมายความว่าฝ่ายนิติบัญญัติได้มอบอำนาจให้ฝ่ายบริหารกำหนดกระบวนการพิจารณาการให้เอกชนร่วมลงทุนกำกับดูแลและติดตามผลการดำเนินโครงการได้ เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการกำหนดหลักเกณฑ์โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการนิติบัญญัติอีก คปก. จึงเห็นชอบกับหลักเกณฑ์ดังกล่าวที่กำหนดให้มีการตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อยกเว้นไม่ให้นำร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มาใช้กับกรณีที่ให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐซึ่งกำหนดไว้เป็นการเฉพาะ
ทั้งนี้ คปก.เห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไขเพิ่มเติม ให้กระบวนการพิจารณาและกระบวนการตราเป็นพระราชกฤษฎีกาผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ โดยกำหนดให้คณะกรรมการฯ ดังกล่าวทำหน้าที่พิจารณาและกลั่นกรอง การกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในพระราชกฤษฎีกา
ดังนั้น คปก. เห็นควรให้มีการเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ในข้อยกเว้นของร่างมาตรา 7 วรรคสอง “ในกรณีที่กิจการของรัฐในเรื่องใดมีกฎหมายกำหนดกระบวนการพิจารณาการให้เอกชนร่วมลงทุนและการกำกับดูแลและติดตามผลการดำเนินโครงการไว้อย่างเพียงพอแล้วจะตราพระราชกฤษฎีกาโดยให้ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนเพื่อยกเว้นไม่ให้นำพระราชบัญญัติฉบับนี้มาใช้บังคับแก่การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐในเรื่องนั้นก็ได้”
ปธ.คปก. กล่าวอีกว่า ขณะที่กรณีคุณสมบัติของคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ตั้งข้อสังเกตว่าการกำหนดให้คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ ควรกำหนดคุณสมบัติของผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความรู้หรือมีความเชี่ยวชาญ อาทิ ผู้ทรงคุณวุฒิ ในสาขานิติศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเงิน การบัญชี หรือสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มศักยภาพ
ดังนั้น คปก.เห็นควรให้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์ในข้อยกเว้นของร่างมาตรา 9 “การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามมาตรา 8 ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาแต่งตั้งจากผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ในสาขานิติศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเงิน การบัญชี หรือสาขาอื่นที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อโดยวิธีการสรรหา ” นอกจากนี้เพื่อให้มีการกำหนดนโยบายของรัฐที่ชัดเจนและแน่นอนในการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐครบถ้วน โปร่งใส และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐ อีกทั้งสนับสนุนการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน จึงจำเป็นต้องมีการตราร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวโดยเร็ว
