เปิดตำนานสื่อไทย เหตุใดถึงต้องมี “นักข่าวทีมตามนายกฯ” ?
ที่มาของนักข่าวสายพันธุ์พิเศษ เอกลักษณ์เฉพาะสื่อไทย ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน

เคยสงสัยกันหรือไม่ว่า เหตุใดท้ายรถยนต์ประจำตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีถึงต้องมีขบวนรถยนต์หลายสิบคันของสื่อวิ่งตามไปทุกหนทุกแห่งด้วยความเร็วสูง?
และเคยสงสัยกันหรือไม่ว่า เหตุใดเวลาผู้นำประเทศไปในงานใดๆ มักจะมีนักข่าวและช่างภาพหลายสิบคนคอยเดินประกบสะกดรอยไปทุกฝีก้าว?
สำหรับบุคคลในวงการสื่อไทย โดยเฉพาะสายการเมือง จะไม่รู้สึกแปลกใจกับคำถามข้างต้น เพราะ “ขบวนรถวิ่งประกบ-นักข่าวเดินสะกดรอย” ดังกล่าว มีชื่อเรียกที่รู้กันว่า หมายถึง “นักข่าวทีมตามนายกฯ”
เหมือนในเหตุระทึกช่วงบ่ายวันที่ 25 ต.ค.2555 ที่มีแท็กซี่ลึกลับสีชมพูพยายามวิ่งเข้าชาร์ตรถยนต์ของนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่ถูกขบวนรถของสื่อที่วิ่งติดตามกันมาคอยบล็อกกระทั่งวิ่งออกนอกเลน
เป้าหมาย ภารกิจ บทบาท หน้าที่ของนักข่าวทีมตามนายกฯ เป็นที่รู้กันดี คือ ติดตามทำข่าว-บันทึกภาพ-จับอิริยาบถของบุคคลในตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ทุกช็อต ทุกฝีก้าว (บางสถานการณ์ที่การเมืองเข้มข้น ถึงกับต้องไปรอออกจากบ้านในตอนเช้า และคอยมาส่งกลับบ้านในช่วงค่ำ)
ผู้อ่านอาจจะเคยได้ยินว่า สื่อไทยมีการแบ่งนักข่าวสายการเมืองคร่าวๆ ตามสถานที่ทำงานประจำ อาทิ สายทำเนียบรัฐบาล สายรัฐสภา สายพรรคการเมือง สายองค์กรอิสระ ฯลฯ แต่สำหรับ “ทีมตามนายกฯ” กลับเป็นสายพิเศษ เพราะต้องวิ่งไปในทุกๆ ที่นายกฯ ปรากฏตัว ทำให้หลายครั้งมีการทำงานข้ามสาย เช่นจากการเมือง ไปเศรษฐกิจ ไปท่องเที่ยว ไปต่างประเทศ ฯลฯ แล้วแต่วาระงานของ “แหล่งข่าวคนสำคัญ”
ความเป็นมาของนักข่าวพันธุ์พิเศษนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร? ทำไมนักข่าว ...ถึงต้องมีทีมไล่ตามนายกฯ ด้วยล่ะ??
จุลสารราชดำเนิน ฉบับที่ 24 ซึ่งเพิ่งวางแผนไปเมื่อกลางเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ได้นำเสนอที่มา-ที่ไปของนักข่าว “ทีมตามนายกฯ” เป็นเรื่องหลักของเล่ม ที่น่าสนใจก็คือ ข้อเขียนดังกล่าวชี้ชัดว่า พัฒนาการการทำงานของสื่อไทยก็เกี่ยวพันกับสถานการณ์การเมืองอย่างแยกไม่ออก
เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น…ติดตามหาคำตอบพร้อมๆ กัน...ในบรรทัดถัดไป

@ เบิกตำนาน “สะกดรอย” ผู้นำ
ยุวดี ธัญญศิริ ผู้สื่อข่าวอาวุโสหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ หรือ “เจ๊ยุ” ที่นักข่าวสายทำเนียบคุ้นเคย เริ่มต้นด้วยการกล่าวว่า ถ้าจะสืบเรื่องราวทีมตามนายกฯ ต้องรู้ที่มาของ “นักข่าวสายทำเนียบรัฐบาล” ก่อน
“ตอนที่พี่มาทำงานใหม่ๆ ราวปี 2515 สมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ตอนนั้นยังไม่มีการแบ่งสายให้นักข่าวไปประจำที่ไหน ทุกเช้า นักข่าวจะต้องไปรวมตัวที่กรมประชาสัมพันธ์ ตรงถนนราชดำเนิน (สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลปัจจุบัน) เพื่อดูว่าวันนี้มีวาระงานอะไรบ้าง ข้างใต้กรมก็จะมีห้องกระจก พวกนักข่าวรุ่นพี่ก็จะมานั่งกินกาแฟ กินข้าวต้ม พร้อมกับวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองไปด้วย เราก็เข้าไปนั่งฟังเป็นความรู้ สายๆ ถึงจะแยกย้ายไปตามวาระงานที่แต่ละคนสนใจ”
สถานที่ทำงานของนักข่าว ในเวลานั้นแบ่งได้ 4 ที่หลักๆ คือ ทหาร, ตำรวจ, กระทรวง เช่น มหาดไทย คมนาคม เกษตร พาณิชย์ ฯลฯ และรัฐสภา
“การทำงานสมัยก่อน จะดูว่าที่ไหนเป็นข่าวก็ไปที่นั่น อย่างที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลเก่า ตรงสะพานผ่านฟ้า จะมีข่าวเยอะ คนก็ไปมากหน่อย งานของนักข่าวช่วงนั้น เช้าๆ ก็จะไปวิ่งตามประเด็นก่อน ตกบ่ายก็จะไปนัดสัมภาษณ์แหล่งข่าว เพื่อกลับมาเก็บไว้เขียนสำหรับวันพรุ่งนี้ แต่เท่าที่สังเกต พวกรุ่นใหญ่พอได้ข่าวก็จะเข้าโรงพิมพ์ พิมพ์เสร็จบ่ายๆ ก็มานั่งพักผ่อนกันที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยเก่า ตรงถนนราชดำเนิน ค่ำๆ ก็ไปสังสรรค์กัน หรือแยกย้ายกลับบ้าน”
ยุวดีเล่าว่า ส่วนการทำข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นักข่าวจะไปนั่งรอที่ข้างทำเนียบรัฐบาลตรงประตูติดคลองเปรมประชากร หากรัฐบาลต้องการจะแถลงข่าว ก็จะมีคนเดินมาตามนักข่าวไปนั่งฟังการแถลงที่ตึกนารีสโมสรเอง เมื่อแถลงเสร็จ ก็จะแจกเอกสาร แล้วเชิญออก ไม่มีการปล่อยให้เดินเพ่นพ่านเช่นทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม การทำงานของสื่อก็เปลี่ยนไป เมื่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก้าวเข้ามา หลังปี 2516 โดยเฉพาะรัฐบาล “ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช” ที่ให้นักข่าวเข้ามาปักหลักอยู่ในทำเนียบรัฐบาลได้ ทำให้นักข่าวที่เวลานั้น ที่รวมทั้งจากหนังสือพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ ก็ยังมีแค่ราว 10 คน จะไปรอสัมภาษณ์นายกฯ ที่ตีนบันไดตึกบัญชาการ 1 ซึ่งมีห้องทำงานของนายกฯ อยู่ชั้นบน เรียกว่าทำงานเสร็จเดินลงมา ก็ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวได้เลย
ส่วนตึกไทยคู่ฟ้าที่ตั้งของห้องทำงานนายกฯ ในปัจจุบัน เวลานั้นยังถูกใช้เป็นสถานที่ประชุม ครม.
ขณะที่ห้องทำงานของสื่อมวลชนภายในทำเนียบรัฐบาล หรือที่เรียกกันว่า “รังนกกระจอก” (มาจากเสียงพูดคุยของนักข่าวระหว่างทำงานหรือถกประเด็นข่าวที่คล้ายนกกระจอกแตกรัง) ถูกสร้างขึ้นครั้งแรก ในสมัยรัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ก่อนจะถูกสร้างเพิ่มเติมตามจำนวนนักข่าวที่เพิ่มขึ้น อีก 2 ครั้ง ในสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย ยุคที่ 2 และสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เรื่องราวเหล่านี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ “นักข่าวสายทำเนียบ” ที่น้อยคนจะรู้…
@ ไล่ล่าเพราะหักหลัง..กันเอง
สำหรับการเริ่มต้นติดตามบุคคลสำคัญใน ครม.โดยเฉพาะนายกฯ ยุวดีเล่าว่า ในสมัยก่อนจะใช้วิธีไป “ดัก-รอ” ตามสถานที่สำคัญๆ โดยเฉพาะโรงแรมเอราวัณ ที่มีงานเลี้ยงสำคัญๆ บ่อย แต่นักข่าวจะถูกกันไว้นอกโรงแรม หาก “แหล่งข่าววีไอพี” เดินมาพูดคุยด้วย ก็ถือว่าโชคดีที่ได้ข่าวติดไม้ติดมือกลับไป
“การทำข่าวนายกฯ สมัยนั้นยังไม่มีการตั้งเป็นขบวนรถยนต์เช่นทุกวันนี้ แต่จะใช้วิธีไปดักตามโรงแรม หรือเฝ้าที่หน้าบ้านพักมากกว่า โดยเฉพาะช่วงที่มีเหตุการณ์สำคัญๆ ก็จะเฝ้ากันถึงตี 2 ตี 3 บางครั้งถึงเช้าก็มี” ยุวดีเล่า
ส่วนการติดตามผู้นำประเทศ แบบ “ทุกฝีก้าว” ถึงเวลานี้ข้อเท็จจริงยังมีอยู่ “2 ชุด”
ขณะที่ “เจ๊ยุ” และนักข่าวรุ่นเก๋าหลายคน กล่าวว่า เริ่มสมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ หรือ “น้าชาติ” เจ้าของฉายาบุฟเฟ่ต์คาบิเนต เพราะชอบแอบไปคุยกับนักธุรกิจ ตามงานบุฟเฟต์ในโรงแรม
แต่นักข่าวอายุงานสูงบางคนกลับให้ข้อมูลว่า เริ่มต้นสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย 1 หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535 เมื่อสถานีโทรทัศน์ชื่อดังแห่งหนึ่ง ซื้อรถยนต์มาให้นักข่าวใช้ตามนายกฯโดยเฉพาะ หนังสือพิมพ์หัวสียักษ์ใหญ่ฉบับหนึ่งเลยต้องถอยรถยนต์มาให้นักข่าวได้ตามภารกิจผู้นำด้วย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจกว่า คือเหตุ-ปัจจัยที่ทำให้ต้อง “ไล่ล่าข่าวผู้นำ” ในทุกสถานที่ มาจากแข่งขันกันภายในวงการสื่อ ที่ทวีความเข้มข้น จนเกิดปรากฎการณ์ที่นักข่าวอาวุโสรายนี้ เรียกว่า “หลอกต้ม”
“มีครั้งหนึ่งถูกเพื่อนทีวีหลอกต้ม บอกว่าจะกลับบ้านแล้ว พวกเราเชื่อก็เลยกลับ แต่เขาส่งอีกทีมไป รุ่งขึ้นเราก็ถามว่าไหนว่าไม่มี ก็มาแก้ตัวว่าเรารู้ว่าข้างในส่งทีมเวรมา พวกเราก็เลยซวย โดนหัวหน้าด่า เพราะตกข่าว หลังๆ เลยไม่ไว้ใจกัน นายกฯไปไหน เราก็ต้องตามไป ขนาดไปต่างจังหวัดยังต้องไป” ยุวดีย้อนอดีต
ลือกันว่า ในวงการข่าวช่วงนั้น ซีเรียสมาก ถึงขนาดมี “นักข่าวอาวุโส” นั่งจ้อง “นักข่าวละอ่อน” ในรังนกกระจอก ที่ยังทำงานติดพันจนดึกดื่น พร้อมกล่าวเสียงดุๆ ว่า “ถ้ามึงยังไม่กลับ..กูก็ยังไม่กลับ!”
ขณะที่ “ผู้ถูกไล่ตาม” อย่าง พล.อ.ชาติชาย เคยแอบบ่นกับนักข่าวที่สนิทๆ ถึงการถูกสะกดรอยแทบจะทุกวินาที ว่า “พวกคุณจะตามอะไรผมนักหนา ตอนนี้ผมมีเวลาส่วนตัวแค่ในห้องน้ำ” !!!

@ เสี่ยงชีวิต แลก “ข่าว”
“ทุกหมายเลขพร้อม ล้อหมุนเวลานี้”
“ขวาโล่ง แซงได้”
“ระวังทางร่วม ความเร็วสูง”
“วิ่ง 2 แถว ซ้าย-กลาง รักษาแนวไว้ รูปขบวนกำลังสวย”
“มีมอเตอร์ไซค์แทรกกลางนะ กันให้ออกไปนอกขบวนหน่อย”
“ชะลอๆๆๆ ข้างหน้ามีอุบัติเหตุ หยุดๆๆๆ”
“ใกล้ถึงที่หมาย นักข่าวเตรียมตัวลงได้”
“ภาพจำ” สำหรับทีมตามนายกฯ ของนักข่าวสายอื่น รวมถึงบุคคลทั่วไป อาจจะเป็นขบวนรถยนต์ยาวเหยียด ที่วิ่งไล่ขบวนรถยนต์ของนายกฯ ด้วยความเร็วสูง (รวมถึงกลุ่มคนที่วิ่งกรูกันไปกันมา ตามงานที่นายกฯ เดินทางไปร่วม)
ข้อความข้างบน คือเสียงพากย์ของ บรรเทิง สุริวรรณ ผู้ช่วยผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น ที่นักข่าวรุ่นหลังเรียกกันติดปากว่า “น้าเทิง” ผู้ทำหน้าที่ขับนำรถยนต์นำขบวนทีมตามนายกฯ ที่ส่งเสียงผ่านเครื่องรับส่งวิทยุ หรือ ว.ไปยังรถยนต์คันอื่นๆ ในขบวน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ในการตามขบวนนายกฯ ที่วิ่งด้วยความเร็วเฉลี่ยไม่เคยต่ำกว่า 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (บางครั้งอาจถึง 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เรียกว่าเข็มไมล์มิดหน้าปัดรถยนต์บางรุ่น) เพราะการ “จัดรูปขบวน” ไม่เพียงส่งผลต่อความรวดเร็วในการทำงาน ยังมีปัจจัยสำคัญเรื่อง “ความปลอดภัย” เข้ามาเกี่ยวข้อง
ดังนั้น คนขับรถยนต์ทีมตามนายกฯ จึงไม่เพียงต้องมีความชำนาญ รู้มือรู้ไม้ และสนิทสนมกันพอสมควร ยังต้องมีอุปกรณ์สำคัญคือ “ว.” ซึ่งตั้งคลื่นความถี่เฉพาะอยู่ในรถยนต์ รถยนต์คันไหนแปลกหน้าจะถูกกันให้ไปอยู่ท้ายขบวนรถยนต์ตามนายกฯ ที่มีอยู่ราว 20-30 คัน เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดเกิดอุบัติเหตุ
ทั้งนี้ รถยนต์ในขบวนแต่ละคันจะมีรหัสของตัวเอง อาทิ “ประชาชื่น” หมายถึงรถยนต์ของหนังสือพิมพ์มติชน ซึ่งมีที่ตั้งสำนักงานอยู่ย่านถนนประชาชื่น เป็นต้น เพื่อให้ติดต่อได้รวดเร็ว
“น้าเทิง” เล่าว่า ขบวนตามนายกฯจะต้องวิ่งสลับฟันปลา เพื่อให้สะดวกในการหลบเข้าซ้ายหรือขวา เวลาเกิดเหตุฉุกเฉินถึงจะเอาอยู่ เพราะถ้าเร็ว 120-130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่เว้นระยะ ไม่สลับฟันปลา จะเกิดอุบัติได้ง่าย เพราะรถยนต์ในขบวนจากสมัยก่อนมีอยู่ราว 15 คัน ปัจจุบันเพิ่มเป็น 20-30 คัน ยิ่งรถยนต์มาก ความเสี่ยงก็เพิ่ม โดยเฉพาะการตามนายกฯ ใน กทม.ที่ไม่รู้ว่าจะมีรถยนต์นอกแทรกเข้ามาในขบวนหรือไม่
แต่แม้จะมีการจัดระบบให้ดี อย่างไร ก็เคยเกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยๆ และครั้งร้ายแรงที่สุด ก็เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ ในวันที่ 9 มิ.ย.2554 เมื่อรถยนต์ของหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ ที่ตามขบวนรถยนต์ของนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับจากหาเสียงที่ จ.ลพบุรี ไปเกี่ยวท้ายท้ายรถบรรทุกใน จ.สระบุรี จนรถยนต์พังยับเยิน และประตูฝั่งคนขับกระเด็นหลุดออกมา
ขณะที่มีนักข่าวได้รับบาดเจ็บ 3 ราย ได้แก่ “สุภางค์ ศิริเดช” ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ผู้จัดการเอเอสทีวี ที่หัวกระแทกถึงขั้นสลบ และกระดูกคอเคลื่อน 2 มิลลิเมตร “กรานต์ทิพย์ จันทจร” ผู้สื่อข่าวเอเอสทีวี บาดเจ็บที่คอและขาขวา ทำให้ขยับไม่ได้ และ “อัครพล นิยมญาต” ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น ที่ขาขวากระแทกอย่างแรง โดยทั้งหมดถูกทีมกู้ภัยนำตัวส่งโรงพยาบาลพระพุทธบาท จ.สระบุรี ทันที
ทุกวันนี้ ทั้ง 3 คนหายจากการบาดเจ็บและกลับมาทำหน้าที่ต่อได้แล้ว แต่การตามนายกฯ ด้วยความเร็วสูงก็ยังมีต่อไป
สุภางค์ ซึ่งตามนายกฯ มาตั้งแต่สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย เมื่อปี 2536 กล่าวว่า เหตุที่ต้องนักข่าวต้องตามนายกฯ แบบทุกฝีก้าว เพราะผู้นำไทยเวลาไปทำภารกิจนอกทำเนียบฯ มักมีนัยยะสำคัญ ยิ่งเป็น “ภารกิจลับ” ก็ต้องพยายามเช็คให้ได้ว่าไปทำอะไร กับใคร ที่ไหน และอย่างไร ทั้งนี้เพราะนักการเมืองไทยชอบมีพฤติกรรมลับ ลวง พราง เป็นเหตุให้ต้องติดตาม หรือบางคนชอบสร้างภาพ แวะซื้อของข้างทางทักทายประชาชน
“อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น (เมื่อปี 2554) รุนแรงที่สุดในชีวิตนักข่าว แต่ครอบครัวก็เข้าใจ ไม่เคยบอกให้เลิก เพราะรู้อยู่ว่ามันต้องเสี่ยง ตัวเองก็ไม่ได้กลัวอะไร เพราะมันคือหน้าที่และความรับผิดชอบของนักข่าว ที่จะต้องไปหาข่าวมานำเสนอต่อประชาชน” เธอว่าไว้
@ “คำถาม” ที่หายไป
แต่แม้จำนวนนักข่าวตามนายกฯ ทุกวันนี้จะมากขึ้น ถึงขนาดเวลาตั้งวงสัมภาษณ์ต้องยืนซ้อนกัน 3-4 ชั้น แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะขาดหายไปในระยะหลัง คือการ “ตั้งคำถามเชิงตรวจสอบ”
เป็นที่มาของการตั้งวงประเมินในวงการสื่อ ทั้งวงเล็ก-วงใหญ่หลายครั้ง ในขวบปีที่ผ่านมา ว่ายังจำเป็นต้องมี “ทีมตามนายกฯ” อยู่ไหม ในเมื่อไปแล้วก็ได้แค่ข่าว “อีเวนต์” (ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร) น้อยครั้งที่จะได้ข่าว “คอนเท้นต์” (ทำไม เพราะอะไร)
ธรรมสถิตย์ ผลแก้ว ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ผู้อยู่ร่วมในหลายๆ เหตุการณ์ที่สื่อตั้งคำถามเชิงตรวจสอบกับผู้นำอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า เวลาจะตามนายกฯ นักข่าวควร “ธง” ในการติดตาม ว่าจะไปหาข่าวอะไรมานำเสนอ ซึ่งธงที่เหมาะสมคือ “ธงของการตรวจสอบ” เพราะถ้าแค่ไปเปิดงาน ติดริบบิ้น สื่อของรัฐก็นำเสนออยู่แล้ว
“เราต้องมองอะไรมากกว่าที่เห็น เช่นถ้านายกฯไปพบชาวบ้าน ก็อาจจะตั้งคำถามว่า ชาวบ้านมาเองหรือถูกใครพามา และคนที่พามามีวัตถุประสงค์อะไร เป็นต้น นี่คือธงในการตรวจสอบ เพราะสิ่งไม่ชอบมาพากลหลายอย่าง บางทีก็ซ่อนอยู่ในวาระงานของนายกฯ นั่นแหล่ะ” เขาว่า
ธรรมสถิตย์ยังยกตัวอย่างกรณี ว.5 โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่า เมื่อผู้นำรัฐบาลมีคำสั่งว่าไม่ต้องตาม นักข่าวก็ไม่ตามกันแล้วกลับเลย ทำให้เรื่องนี้ยังเป็นประเด็นข่าวที่อึมครึม คำถามคือทำไมนักข่าวไม่คิดสวนทางผู้นำรัฐบาล
บ่ายวันหนึ่ง ปลายเดือน ส.ค.2555 ราชดำเนิน ไปนั่งสนทนากับนักข่าวสาวประสบการณ์สูงรายหนึ่ง ผู้เจนจัดในการตั้งคำถามเชิงตรวจสอบกับผู้มีอำนาจ จนครั้งหนึ่งถูก “อำนาจมืด” กดดันให้ต้องอำลาองค์กรสื่อที่ตัวเองสังกัด โดยเธอมองว่า การทำหน้าที่ของทีมตามนายกฯ ทุกวันนี้ต่างไปจากเดิมค่อนข้างมาก เพราะเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า เปิดทางให้มีสื่อใหม่ๆ เกิดขึ้นจำนวนมาก ซึ่งสื่อเหล่านั้นก็มักจะรับเด็กจบใหม่มาทำงาน มากกว่าซื้อตัวนักข่าวมีประสบการณ์ไปทำงาน ขณะที่มือยิงคำถามเก๋าๆ เริ่มโรยรา หรือแยกย้ายไปทำอาชีพอื่น
“แล้วสื่อนั้นๆ ก็ส่งนักข่าวที่เพิ่งจบใหม่นั่นแหล่ะ มาประจำทำเนียบรัฐบาล มาตามนายกฯ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าการตั้งคำถามเชิงตรวจสอบคืออะไร ทุกวันนี้ก็เลยได้เห็นแต่การถามเพียงเพื่อให้ได้ข่าวส่งกลับไปในออฟฟิสเท่านั้น”
นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่าง “นักข่าว” กับ “แหล่งข่าว” ที่เปลี่ยนไป มี “ระยะห่าง” น้อยลง ก็ส่งผลโดยตรงให้การทำหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างมีนัยยะสำคัญ
“นักข่าวสมัยนี้จะมองว่า ความสนิทสนมกับแหล่งข่าว คือไปเที่ยว กินเหล้า พูดเล่นหัว แซวกันได้ แต่ความสนิทสนมระหว่างแหล่งข่าวของนักข่าวรุ่นก่อนๆ คือจะมีความเคารพระหว่างกัน ถ้านักข่าวถาม แหล่งข่าวจะเงี่ยหูฟัง แล้วตอบข้อสงสัยนั้นๆ ไม่ใช่เบี่ยงเบนไปพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูด โดยไม่สนใจคำถาม”
อีกปัจจัย ที่เธอมองว่าเป็นตัว “คุมกำเนิด” คำถามเชิงตรวจสอบ ก็คือ “ความกลัว” ในเมื่อสนิทกับแบบเพื่อน-แบบพี่ ก็เลยกลัวแหล่งข่าวจะไม่รัก กลัวทำวงสัมภาษณ์แตก กลัวจะมีปัญหาอื่นๆ ตามมา
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการผลัดรุ่นที่รวดเร็ว จนการฝึกปรือฝีมือในสนามของนักข่าวตามไม่ทัน
นักข่าวอาวุโสจากหนังสือพิมพ์หัวสียักษ์ใหญ่รายหนึ่ง ซึ่งตามมาสมทบในวงสนทนาดังกล่าว ก็ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า วัฒนธรรมการตามนายกฯเปลี่ยนไปตั้งแต่สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความสามารถในการเล่นกับสื่อ ทั้งบนหน้ากระดาษและกับหลังบ้านของสื่อ
เขาใช้คำว่า ทุกวันนี้มีการ “ล็อบบี้” ในการสกัดคำถามเชิงตรวจสอบ ในวงสัมภาษณ์ก็จะมีใครบางคนคอยพูดตัดบท เวลาถึงช่วงคำถาม-คำถามกำลังเข้มข้น อาทิ “พอแล้วๆ วันนี้เขาพูดเยอะแล้ว” “จะถามอะไรกันนักกันหนา” นอกวงสัมภาษณ์ก็จะมีการกดดันให้ตัดข้อความเชิงลบต่อตัวผู้นำออก ไม่ว่าจะในรูปแบบของนโยบายองค์กร หรือการเซ็นเซอร์ตัวเอง
ขณะที่ ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ นักจัดรายการวิทยุคำถามคม ผู้ตั้งฉายาตัวเองว่า “หมาแก่” ก็มองว่า เหตุที่คำถามเชิงตรวจสอบไม่ถูกใช้ในระยะหลัง น่าจะมาหลายๆ ปัจจัย ทั้งนักข่าวหลงแหล่งข่าว คิดว่าแหล่งข่าวคนนั้นทำอะไรก็ถูก หรือมาจากปัญหาคลาสสิก คือตัวนักข่าวไม่ค่อยทำการบ้าน
แต่ไม่ว่าจะมาจากเหตุผลใด เมื่อสังคมเริ่มรู้สึกว่า “นักข่าว” ไม่ทำหน้าที่หลักด้วยการ “ตั้งคำถาม”
จึงไม่แปลกที่คนจำนวนไม่น้อย จะเริ่ม “ตั้งคำถาม” กับนักข่าว ว่ายังจำเป็นต้องมีทีมงานเฉพาะ อย่าง “ทีมตามนายกฯ” ต่อไปหรือไม่ ในยุคที่เครือข่ายสังคมออนไลน์กำลังเบ่งบาน และมีความพยายามในการสร้างกระแสว่า “ใครๆ ก็เป็นนักข่าว” ได้ขึ้นมา !

@ ระบบนิเวศในทีมตามนายกฯ
วิธีการจัดทีมตามนายกฯจะแตกต่างกันไปในแต่ละสังกัด บางที่ให้นักข่าวคนเดียวตามตลอดเวลา อาทิ ไทยรัฐ เดลินิวส์ ข่าวสด ไทยโพสต์ ไอ.เอ็น.เอ็น ฯลฯ บางที่จัดเวรผลัดกันตาม อาทิ มติชน เนชั่น ฟรีทีวีช่องต่างๆ บางที่แล้วแต่การมอบหมายเป็นวันๆ ไป และบางที่ตามเมื่อมีประเด็นสำคัญเท่านั้น อาทิ โพสต์ทูเดย์
เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลทีมตามนายกฯก็จะเปลี่ยนไป โดยมักให้นักข่าวที่ดูแลพรรคที่ชนะการเลือกตั้งมาตาม เพราะจะมีแหล่งข่าวมากกว่า อย่างเช่นหลังเลือกตั้ง ปี 2554 ที่พรรคเพื่อไทยชนะพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้ง ที่ช่วงหนึ่ง มีทีมตามนายกฯ ถึง 2 ทีม คือ “ทีมตาม(อดีต)นายกฯอภิสิทธิ์” กับ “ทีมตาม(ว่าที่)นายกฯยิ่งลักษณ์”
จนนักข่าวแซวกันเองว่า ...วันนี้มาตามนายกฯคนไหนล่ะ?
“ระบบนิเวศ” ในวงสัมภาษณ์นายกฯ ก็จะเปลี่ยนไปบุคลิกของนายกฯ และสมาชิกในทีมข่าวเฉพาะกิจนี้ อาทิ นายกฯบางคน ต้องช่วยกันถาม เพราะมักย้อนคำถามนักข่าว จึงต้องสลับหน้าคน-ใช้วิธีถามหลายๆ แบบ เพื่อให้ได้คำตอบ นายกฯบางคนจะมีนักข่าวผูกขาดคำถามเพียงคนเดียว หากคนอื่นถามจะถูกถามตัด ทำให้ต้องแย่งกันถามจนชุลมุน นายกฯบางคนต้องถามสิ่งที่อยากตอบก่อน ค่อยถามสิ่งที่อยากถาม ไม่เช่นนั้นจะเดินหนีทันที เป็นต้น
และด้วยภารกิจนายกฯ ที่มีมากขึ้นในระยะหลัง โดยเฉพาะข่าวเชิงอีเว้นต์ ไปเปิดงาน ลงพื้นที่ พบประชาชน ฯลฯ ทำให้เกิดลักษณะการแบ่งงานกันทำ ที่เรียกว่า “พูลข่าว” (คล้ายๆ ทีวีพูล คือมอบข่าวให้กัน) หรือ “โคข่าว” (co ย่อจาก cooperation หรือร่วมมือ) อาทิ คนนี้ทำปาฐกถา คนนี้ทำเปิดงาน คนนี้ทำสัมภาษณ์ คนนี้ทำเข้าพบ ฯลฯ โดยอ้างกันว่า เพราะปริมาณข่าวแต่ละวันมหาศาล จนไม่มีทางที่คนๆ เดียวจะทำได้หมด
ซึ่งการ “พูลข่าว-โคข่าว” นี่เอง เป็นที่มาของข้อสังเกตทั้งจากแหล่งข่าว-คนข่าวทั่วไป ว่า ทำไมมันเขียนเหมือนกันทุกตัวอักษร ผิดก็ยังผิดจุดเดียวกัน
ยุวดี ธัญญศิริ ให้ภาพวิธีการทำข่าวผู้นำประเทศที่ต่างกันระหว่าง “อดีต” กับ “ปัจจุบัน” ว่า สมัยก่อนเราต้องรอให้คนหนึ่งถามเสร็จก่อน เราคอยถามประเด็นของเรา ยุคแรกๆ ถ้าหนังสือพิมพ์เป็นคู่แข่งกันจะถามพร้อมกันไม่ได้ แล้วจะไม่มีการแย่งกันถาม แต่จะแบ่งประเด็นกัน มาเตี๊ยมกันก่อน ถ้ามีเรื่องเดียวกัน ก็จะช่วยกันเสริม แล้วนายกฯบางคนต้องยิงคำถามไปเลย ถึงจะได้คำตอบแน่ๆ บางคนต้องใช้น้ำเย็นลูบก่อน ค่อยวนไปเรื่องที่อยากได้
“ต้องโทษกอง บ.ก.ด้วยว่า การจะส่งเด็กมาทำข่าวนายกฯ จะต้อง assign (มอบหมาย) ประเด็นเด็กมาว่า อยากจะได้ประเด็นอะไร ไม่ใช่บอกแค่ให้ไปเฝ้า 24 ชั่วโมง เหมือนยาม เด็กก็เลยไม่รู้จะถามอะไร ได้แค่ยืนถือเทปเวลาสัมภาษณ์ บางคนไม่ว่าง ก็ให้เด็กฝึกงานมาถือเทปแทน” เธอทิ้งท้ายแบบปลงๆ
@ จำเป็นแค่ไหน...ต้องมีอยู่ไหม?
ราชดำเนิน ลองสุ่มสำรวจความเห็นจากคนข่าวทีมตามนายกฯว่า ยังจำเป็นต้องมีทีมข่าวนี้อยู่ไหม? ซึ่งทุกตอบตรงกันว่า “จำเป็น” ด้วยเหตุผลที่หลากหลาย อาทิ นายกฯเป็นบุคคลสำคัญทุกความเคลื่อนไหวมีความหมาย เราไม่มีทางรู้เลยว่าจะเกิดเหตุสำคัญขึ้นกับนายกฯในวินาทีใด สื่อต้องจับตาตรวจสอบผู้นำประเทศแทนประชาชน ฯลฯ
สุพิศ สุจินตะกูล ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์บ้านเมือง ให้เหตุผลว่า นายกฯเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดิน ทุกความเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะในฐานะนายกฯ หรือในเวลาส่วนตัว ล้วนไปข่าวได้หมด การติดตามนายกฯ จึงไม่ได้ดูเฉพาะคำให้สัมภาษณ์ แต่ต้องสังเกตทั้งสีหน้า ท่าทาง แววตา ฯลฯ เพราะทุกอย่างล้วงแสดงถึงภาวะผู้นำ
ฐานิสร์ ทองนอก ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอินโฟเควสท์ กล่าวว่า การแสดงออกของนายกฯ หลายครั้งเป็นสิ่งเราไม่คาดคิดมาก่อน จึงยังต้องมีทีมข่าวที่ตามภารกิจของนายกฯ ไปทุกๆ งาน เพราะเรื่องสำคัญบางเรื่อง เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นมาแล้ว มีเพียงนายกฯ เท่านั้น ที่มีอำนาจในการตัดสินใจ
วีระยุทธ วิริยะสัจจะจิตร ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส กล่าวว่า เราไม่มีทางรู้เลยว่า วันนี้หรือพรุ่งนี้ จะเกิดอะไรขึ้น เหมือนอย่างที่นายกฯ ทักษิณบินไปเมืองนอกแล้วถูกรัฐประหาร
สุพรทิพย์ เทพจันตา ผู้สื่อข่าวสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น กล่าวว่า ทีมตามนายกฯ เป็นเสมือนตัวแทนประชาชน ที่จะติดตามและสื่อสารการทำงานของนายกฯให้ประชาชนรู้ เหตุที่ต้องตามกระทั่งเวลาส่วนตัว เพราะนายกฯอยู่ในหลายบทบาท บางเรื่องอาจคาบเกี่ยวระหว่างธุรกิจกับการเมือง ทำให้นักข่าวต้องติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ประชาชนยังอยากรู้ว่า ชีวิตส่วนตัวของนายกฯเป็นอย่างไร นักข่าวจึงมีหน้าที่ต้องสื่อสารเรื่องนี้ออกไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อลองถามความเห็นจากหลายคนที่ไม่ได้เอ่ยชื่อมาข้างต้น คำตอบของเหตุผลที่ยังต้องตามนายกฯทุกฝีก้าวกันต่อไป กลับมาจากเรื่องง่ายๆ เพียงแค่...
“กลัวตกข่าว”!
---------------------------------
บรรยายภาพ
1.น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯคนที่ 28 ท่ามกลางวงล้อมจอสื่อที่ขอสัมภาษณ์
2.หน้าปากจุลสารราชดำเนิน ฉบับที่ 24 ที่เพิ่งวางแผงไปเมื่อกลางเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา มีเรื่องจากปก "เปิดตำนานสื่อไทยทำไมต้องมีทีมตามนายกฯ?"
3.ลักษณะการวิ่งของขบวนรถยนต์ตามนายกฯ ที่มักวิ่งด้วยความเร็วสูง จะต้องสลับฟันปลา เผื่อเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้แก้ไขได้ทัน
4.นักข่าวอาวุโสหลายคนพูดตรงกันว่า "ทีมตามนายกฯ" แบบสะกดรอยทุกฝีก้าว เริ่มมีขึ้นในสมัยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกฯคนที่ 17 จากบุคลิกเฉพาะตัวที่ชอบ ว.5 (ไปทำภารกิจลับ) กับนักธุรกิจตามโรงแรมต่างๆ
