"ผบ.ตร.ใหม่" กับสัญญาใจดับไฟใต้ต้องไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน
"นโยบายที่จะเน้นในการทำงานมีอยู่ 3 ภารกิจหลักตามนโยบายของรัฐบาล ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหายาเสพติด และการเตรียมตัวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน" เป็นคำกล่าวของ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ (ผบ.ตร.) ในระหว่างมอบนโยบายให้กับข้าราชการตำรวจทั่วประเทศเมื่อวันที่ 3 ต.ค.2555
จะเห็นได้ว่า "ภารกิจดับไฟใต้" เป็นหนึ่งในสามภารกิจสำคัญที่ พล.ต.อ.อดุลย์ เน้นย้ำเป็นพิเศษ ซึ่งเหตุผลนอกจากความหนักหน่วงยืดเยื้อของปัญหาที่กลายเป็น "วาระแห่งชาติ" ของทุกรัฐบาลไปแล้ว เชื่อว่าเหตุผลลึกๆ อีกประการหนึ่งก็คือ พล.ต.อ.อดุลย์ มีวันนี้ได้ หมายถึงการขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของตำรวจได้ ก็เพราะผลงานการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เจ้าตัวเคยลงไปคลุกวงในและวางระบบด้วยตนเอง กระทั่งเป็นแรงส่งอันสำคัญให้ก้าวสู่ดวงดาวด้วย
และหลังจากรับตำแหน่ง ผบ.ตร.เต็มมือได้ไม่กี่วัน พล.ต.อ.อดุลย์ ก็เดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เรียกขวัญกำลังใจจากผู้ใต้บังคับบัญชาทันที
ด้วยเหตุนี้ "แนวคิด-แนวทาง" การทำงาน การบริหารงานบุคคล ตลอดจนปูมหลังเกี่ยวกับปัญหาภาคใต้ในการรับรู้ของ พล.ต.อ.อดุลย์ จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะในมิติด้านความมั่นคงซึ่งเขาจะประสานมือกับ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 อย่างแนบแน่น เนื่องจากเป็นเพื่อนนักเรียนเตรียมทหาร (ตท.) รุ่นเดียวกัน คือ ตท.13
เรียกว่าเป็นอีกยุคหนึ่งที่น่าจะมี "เอกภาพ" สูงสุดก็คงไม่ผิดนัก เพราะผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ผบช.ศชต.) อย่าง พล.ต.ท.ไพฑูรย์ ชูชัยยะ ก็เป็นเพื่อนนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่น 29 รุ่นเดียวกับ พล.ต.อ.อดุลย์ ขณะที่เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) อย่าง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ก็เป็นนายตำรวจรุ่นน้อง
เริ่มจากการบริหารงานบุคคลก่อน พล.ต.อ.อดุลย์ ยึดหลัก put the right man on the right job หรือ "จัดวางตัวบุคคลให้เหมาะสมกับงาน" พร้อมทั้งวางระบบประเมินผลงานเป็นระยะเพื่อให้เจ้าของตำแหน่งต้องแอคทีฟตลอดเวลา ไม่้ให้กลายเป็นประเภท "ไม่หือไม่อือ" กับปัญหาทีต้องการความเร่งด่วนในการแก้ไข
"ผมจะประเมินเป็นระยะ ทุกๆ 3 เดือน 6 เดือน แล้วพิจารณาโทษเป็นรายๆ ไป ไล่ลงไปเลย หลักเกณฑ์การประเมินก็คือ 1.คุมสถานการณ์ได้หรือไม่ 2.ลดความสูญเสียของประชาชนและกำลังพลได้ 3.ริเริ่มการปฏิบัติเพื่อหยุดยั้งสถานการณ์ 4.พัฒนาคน พัฒนาหน่วย พัฒนาระบบ และ 5.วัดความเป็นผู้นำ"
ชัดเจนว่าในหลักเกณฑ์การประเมิน 5 ข้อ ย่อมมีข้อหนึ่งที่ประเมินตัว "ผู้นำหน่วย" ซึ่งในทัศนะของ พล.ต.อ.อดุลย์ เขาเห็นว่าตำรวจยุคปัจจุบันต้องเป็นนักบริหาร สมัยที่ทำงานภาคใต้เขายึดนโยบาย 3 ข้อ คือ
1.เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา อันเป็นยุทธศาสตร์พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
2.สร้างกลไกรัฐให้เข้มแข็ง เพราะสงครามที่ปลายด้ามขวานเป็นการต่อสู้แย่งชิงมวลชน ถ้าตำรวจทหารถูกยิง โรงพักยังถูกเผา ประชาชนก็ไม่เชื่อรัฐ ฉะนั้นต้องทำให้รัฐเข้มแข็งก่อน เหตุรุนแรงต้องเกิดน้อยลง เนื่องจากในสงครามประชาชน ชาวบ้านจะอยู่ข้างฝ่ายที่เข้มแข็ง ขณะเดียวกันการบังคับใช้กฎหมายต้องเป็นธรรม เสมอภาค ไม่ละเมิดสิทธิ์ การจะแพ้หรือชนะในสงคราม หัวใจอยู่ตรงนี้ ถ้าเข้มแข็งแต่ซ้อมทรมานก็แพ้
และ 3.ทำงานมวลชน
"ทั้ง 3 ข้อนี้ต้องทำพร้อมกัน ต้องแต่งตั้งข้าราชการดีๆ ลงไปทำงาน เฟ้นคนดีๆ ไปเป็นผู้บังคับบัญชา และต้องมีสวัสดิการพิเศษให้ มีวันทวีคูณ ที่ผ่านมาบางยุคไม่มีการตอบแทน ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่มีกำลังใจทำงาน ฉะนั้นต้องทำให้เห็น"
กระบวนการเรื่องคุณภาพคน เป็นกระบวนการที่ พล.ต.อ.อดุลย์ เน้นเป็นพิเศษ
"การส่งคนแย่ๆ ไปภาคใต้ในลักษณะเป็นการลงโทษเหมือนที่ทำกันมาในอดีตนั้น เป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ ผมเชื่อว่าถ้าเราทำถูกต้อง แก้ไขถูกวิธี สถานการณ์จะดีขึ้นเป็นลำดับ แต่ไม่จบ เพราะมันมีรากเหง้าตั้งแต่ยุคฮัจยีสุหลง (ผู้นำมุสลิมที่เสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลไทย และหายสาบสูญไปเมื่อปี พ.ศ.2491 เชื่อว่าถูกอุ้มฆ่า) เมื่อฮัจยีสุหลงเสียชีวิต ก็มีกลุ่มคนตั้งขบวนการต่อสู้หลายขบวนการ ทั้งพูโล บีอาร์เอ็น"
"ที่สำคัญคือปี 2522 บีอาร์เอ็น โคออร์ดิเนต ได้ปรับการต่อสู้ หันไปใช้เรื่องอัตลักษณ์ ศาสนา ความเป็นมลายูมุสลิม ประวัติศาสตร์รัฐปัตตานี และประเด็นสิทธิมนุษยชนเป็นตัวขับเคลื่อน พร้อมทั้งส่งคนไปฝึกในต่างประเทศ และทดสอบระบบเมื่อปี 2535 ด้วยการเผาโรงเรียน 36 แห่ง ปล้นปืนหลายครั้ง กระทั่งวันที่ 4 ม.ค.2547 จึงเป็นวันเสียงปืนแตก"
4 ม.ค.2547 ที่ พล.ต.อ.อดุลย์ พูดถึง คือวันที่กลุ่มขบวนการตัดสินใจเข้าปล้นอาวุธปืนจากกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ บ้านปิเหล็งใต้ ต.มะรือโบออก อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส
พล.ต.อ.อดุลย์ บอกว่า การแก้ปัญหาภาคใต้นั้นไม่ง่าย แต่ก็ไม่แพ้ ยอมรับว่าปี 2547-2548 นั้นเกือบไป เพราะถ้าใช้ความรุนแรงตอบโต้จะเข้าทางฝ่ายก่อการ ถ้าซ้อมทรมานก็จะเข้าทางเช่นกัน ปัจจุบันนี้สถานการณ์ดีขึ้น แกนนำผู้ก่อเหตุรุนแรงลดลงมากแล้ว
ในฐานะที่เชี่ยวชาญปัญหาภาคใต้ เพราะอาสาลงไปแก้ไขปัญหาเองและอยู่ในพื้นที่อย่างต่อเนื่องยาวนานหลายปี ทั้งยังวางโครงสร้างหน่วยงานของตำรวจให้สามารถทำงานได้อย่างเป็นระบบในปัจจุบัน โดยเฉพาะศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) พล.ต.อ.อดุลย์ ชี้ว่า ปัญหาภาคใต้เกี่ยวพันกับ 18 กระทรวง และหน่วยงานที่ไม่ได้ขึ้นกับกระทรวงมากมาย ภารกิจนี้จึงต้องบูรณาการอย่างเป็นเอกภาพ
"การแก้ปัญหาต้องมองภาพรวมพื้นที่ปฏิบัติการทั้งหมด ซึ่งในระดับพื้นที่อยู่ในความรับผิดชอบของแม่ทัพภาคที่ 4 เลขาธิการ ศอ.บต.และผู้บัญชาการ ศชต.ฉะนั้นต้องสร้างกลไกรัฐให้เข้มแข็งเสียก่อน เพราะต้องเผชิญกับผู้ก่อความรุนแรง ในทางคดีต้องใช้การสืบสวนสอบสวนที่ดีและใช้นิติวิทยาศาสตร์เข้าช่วย"
"ทุกระบบต้องเข้มแข็ง บูรณาการ ทำมิติใดมิติหนึ่งเพียงมิติเดียวไม่ได้ การใช้กฎหมายต้องใช้อย่างเป็นธรรมเป็นเรื่องสำคัญมาก ต้องไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน"
ส่วนโครงสร้างใหม่ที่รัฐบาลเตรียมคลอดออกมา คือ ศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก.กปต.) นั้น พล.ต.อ.อดุลย์ มองว่า ถือว่าใช้ได้ เพราะเคยเสนอมาตลอดว่าต้องมีเจ้าภาพนั่งหัวโต๊ะรับผิดชอบทั้งหมด
"ที่ผ่านมามีปัญหาคือกฎหมายแยกหน่วยงาน กอ.รมน.กับ ศอ.บต.ให้แยกกันเดินเป็น 2 แท่งคู่กัน (พระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2553 หรือ พ.ร.บ.ศอ.บต.) ตอนนี้รัฐบาลปรับใหม่ด้วยการมอบให้รองนายกรัฐมนตรีดูแล ศปก.กปต.เพื่อติดตามการปฏิบัติทั้งมวล ซึ่งก็จะทำให้ระบบมันเดินไปข้างหน้าดีขึ้นกว่าเดิม" พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวอย่างมีความหวัง พร้อมทั้งย้ำว่าถ้าเดินถูกทาง ปัญหาภาคใต้จะดีขึ้นทันที แต่หากผ่านไป 3 เดือน 6 เดือนยังไม่ดีขึ้น...
เขาคือคนแรกที่ต้องรับผิดชอบ!
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : พล.ต.อ.อดุลย์ ขณะเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อวันที่ 10 ต.ค.2555 (ภาพโดย อะหมัด รามันห์สิริวงศ์)