สพฉ.ประชุมแลกเปลี่ยนระบบการแพทย์-เตรียมพัฒนาทีมกู้ชีพมอเตอร์ไซด์ช่วยชีวิต
สพฉ.จัดประชุมแลกเปลี่ยนระบบการแพทย์ฉุกเฉินทีมแพทย์ ต่อยอดการทำงาน EMS ไทย ด้าน ผอ.จัดระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ระบุ เตรียมพัฒนาทีมกู้ชีพมอเตอร์ไซด์เพื่อช่วยเหลือชีวิตคนในสภาวะการจราจรติดขัดให้ได้อย่างทันท่วงที
ที่ห้องประชุมชั้น 6 อาคารสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ได้มีการจัดการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินระหว่าง สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) และทีม Japan International Cooperation Agency (JICA) ซึ่งประกอบไปด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศพม่าที่เข้ารวมแลกเปลี่ยนการทำงานกันในครั้งนี้ด้วย
นพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กล่าวว่า การแลกเปลี่ยนประเด็นความรู้ครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีมากเพราะจะทำให้เกิดการ เรียนรู้ร่วมกันที่จะสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดการทำงานระบบการแพทย์ฉุกเฉินในแต่ละประเทศได้ ทั้งนี้การทำงานของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศไทยนั้น สิ่งที่เราเน้นเป็นสำคัญคือการให้บริการประชาชนทุกคนอย่างมีคุณภาพ รวดเร็ว ทั่วถึงและเท่าเทียม
ด้าน ร.อ.นพ.อัจฉริยะ แพงมา ผู้อำนวยการสำนักจัดระบบการแพทย์ฉุกเฉิน กล่าวถึงการทำงานของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินให้ผู้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศพม่าว่า สัญลักษณ์ของการแพทย์ฉุกเฉินของทั่วโลกก็คือ Star of life ที่หมายถึงแสงสว่างและการช่วยเหลือชีวิต สพฉ.เองก็ยึดหลักการทำงานในเรื่องนี้เช่นกัน จึงเน้นการช่วยเหลือชีวิตผู้คนอย่างรวดเร็ว ทั่วถึงและเท่าเทียม และที่สำคัญคือมีคุณภาพได้มาตรฐาน ทั้งนี้ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศไทย หมายถึงการจัดระบบการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินให้ได้รับการบริการทางการแพทย์ทั้งในภาวะปกติและภาวะภัยพิบัติให้มีประสิทธิภาพ ทั้งระบบการรับแจ้งเหตุ ระบบการเข้าช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยฉุกเฉิน ณ จุดเกิดเหตุ ระบบการลำเลียงขนย้าย และการนำผู้เจ็บป่วยฉุกเฉินให้แก่โรงพยาบาลที่เหมาะสม ได้อย่างมีคุณภาพและรวดเร็วตลอด 24 ชั่วโมง
ผู้อำนวยการสำนักจัดระบบการแพทย์ฉุกเฉิน กล่าวอีกว่า ระบบดังกล่าวจะต้องมีการดูแลรับผิดชอบโดยแพทย์หรือผ่านระบบทางการแพทย์ และควรเป็นระบบที่ไม่มีผลประโยชน์เป็นที่ตั้งหรือแอบแฝง ทั้งนี้ในประเทศที่พัฒนาแล้วได้มีระบบการลำเลียงขนย้ายผู้ป่วยด้วยยานพาหนะที่เรียกว่ารถพยาบาลฉุกเฉินมานานกว่าหนึ่งร้อยปีมาแล้ว เช่นในประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย อังกฤษและประเทศในยุโรปอีกจำนวนมาก แต่การจัดให้เกิดเป็นระบบการช่วยเหลือฉุกเฉินจริง ๆ นั้น เริ่มต้นในสหรัฐอเมริกาเมื่อมี ค.ศ.1966 และได้มีการพัฒนาปรับปรุงเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน สำหรับประเทศอื่น ๆ ก็ได้มีการจัดตั้งและพัฒนาในลักษณะเดียวกันแต่จะมีโครงสร้างและการใช้ ทรัพยากรแตกต่างกัน แต่มีเป้าหมายใหญ่เหมือนกันคือการรักษาพยาบาลฉุกเฉินที่รวดเร็วมีคุณภาพอันจะส่งผลให้อัตราการเสียชีวิต พิการ หรือปัญหาในการรักษาพยาบาลลดลง สำหรับประเทศไทยได้ใช้เวลาการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินมากว่า 20 ปีจนถึงปัจจุบันที่มีสพฉ.เป็นผู้รับผิดชอบหลัก และจัดระบบการช่วยเหลือผู้ป่วยผ่านสายด่วน1669 เพื่อให้เกิดการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ปฎิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินที่ผ่านการอบรมในระดับต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับอาการผู้ป่วย เช่น หากผู้ป่วยฉุกเฉินเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บในระดับต้น ก็จะส่งอาสาสมัครฉุกเฉินระดับต้นออกไปให้การช่วยเหลือ แต่หากผู้บาดเจ็บมีอาการหนัก ก็จะส่งชุดปฏิบัติการฉุกเฉินระดับสูงเข้าให้การช่วยเหลือ อย่างไรก็ตามการเข้าถึงระบบการแพทย์ฉุกเฉินหากวิเคราะห์ในแต่ละภาคนั้นจะพบว่าภาคกลางมีความครอบคลุมของชุดปฏิบัติการมากที่สุดคิดเป็น 70.44 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 65.44 เปอร์เซ็นต์ และภาคที่มีหน่วยของการให้บริการน้อยที่สุดคือภาคใต้ 44.03 เปอร์เซ็นต์
“นอกจากระบบการปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินทางบกแล้ว ประเทศไทยมีการพัฒนาการช่วยเหลือมาตลอด อาทิ การปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินทางอากาศยาน เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินในพื้นที่จำเป็น หรือเรียกว่า Sky docter ซึ่งนำต้นแบบมาจากประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีการปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉินทางน้ำ และล่าสุดกำลังจะพัฒนาทีมช่วยเหลือในรูปแบบจักรยานยนต์ (motorcycle) ที่ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาโดยทีมแพทย์และทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ฉุกเฉิน เพื่อวิเคราะห์และจัดระบบให้เหมาะสม เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินในกรณีที่มีปัญหาสภาวะจราจรติดขัดอีกด้วย เช่น การส่งทีมกู้ชีพไปกับรถจักรยานยนต์เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยเบื้องต้นก่อนที่รถพยาบาลจะมาถึง แต่ท้ายที่สุดการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ” นพ.อัจฉริยะ กล่าว
