หนึ่งทศวรรษผ่านไป การประหารชีวิตอยู่ในขาลง แต่ยังคงมีอุปสรรคท้าทาย
แอมเนสตี้ออกแถลงการณ์ เนื่องในวันยกเลิกประหารชีวิตสากล 10 ต.ค. มีเนื้อหาดังนี้
ทศวรรษที่ผ่านมามีความก้าวหน้าอย่างสำคัญต่อการยกเลิกการใช้โทษประหารชีวิตทั่วโลก แต่ยังคงมีความท้าทายสำคัญก่อนที่โทษประหารชีวิตจะกลายเป็นซากประวัติศาสตร์ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลแถลงในโอกาสครบรอบครั้งที่ 10 ของวันยกเลิกโทษประหารชีวิตสากลในวันที่ 10 ตุลาคม
การรณรงค์ของพันธมิตรระดับโลกส่งผลให้อีก 17 ประเทศตัดสินใจยกเลิกโทษประหารชีวิตสำหรับความผิดทางอาญาทุกประเภท นับแต่มีการกำหนดวันยกเลิกโทษประหารชีวิตครั้งแรกเมื่อปี 2546 ส่งผลให้ในปัจจุบันมี 140 ประเทศทั่วโลกที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตทั้งในทางนิตินัยหรือพฤตินัย เรียกว่ากว่า 70% ของประเทศทั่วโลก
แต่แม้จะมีประเทศที่ยังคงใช้โทษประหารชีวิตอยู่ไม่กี่แห่ง แต่หลายประเทศก็เป็นมหาอำนาจอย่างเช่น สหรัฐฯ และจีน ซึ่งยังคงมีการประหารชีวิตบุคคลอย่างสม่ำเสมอและน่าเศร้าใจ
“ในปี 2554 มีเพียง 21 ประเทศที่ยังคงประหารชีวิตบุคคล ลดลงจาก 28 ประเทศตอนที่มีการฉลองวันยกเลิกโทษประหารชีวิตสากลเป็นครั้งแรก การที่มี 17 ประเทศซึ่งยกเลิกโทษประหารชีวิตสำหรับความผิดทางอาญาทุกประเภทในช่วงเวลาดังกล่าวนับเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความก้าวหน้าที่สำคัญ” วิดนีย์ บราวน์ (Widney Brown) ผู้อำนวยการอาวุโสด้านกฎหมายและนโยบายระหว่างประเทศ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าว
“แม้จะมีความสำเร็จเช่นนี้ แต่การต่อสู้กับโทษประหารยังเป็นเส้นทางอีกยาวไกล มีงานที่ต้องทำอีกมากเพื่อจูงใจให้รัฐบาลที่เหลืออยู่ยุติการปฏิบัติเช่นนี้อย่างเด็ดขาด”
แนวโน้มการยกเลิกอย่างชัดเจน
ในบรรดา 140 ประเทศที่ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตทั้งในทางกฎหมายหรือในทางปฏิบัติ ล้วนแต่เป็นรัฐซึ่งเป็นตัวแทนภูมิภาคสำคัญของโลก เป็นตัวแทนศาสนาและวัฒนธรรม รวมทั้งเป็นตัวแทนระบบกฎหมายที่หลากหลาย
นับแต่ปี 2546 โดยเฉลี่ยแล้วในแต่ละปีจะมีสองประเทศที่ยกเลิกการใช้โทษประหารชีวิตสำหรับความผิดทางอาญาทุกประเภท กรณีล่าสุดคือ ลัตเวีย เมื่อเดือนมกราคม 2555
ในช่วงเวลาเดียวกัน มีอีก 26 ประเทศที่ให้สัตยาบันต่อความตกลงขององค์การสหประชาชาติเพื่อยกเลิกโทษประหารชีวิต อันได้แก่ พิธีสารเลือกรับฉบับที่ 2 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (Second Optional Protocol to the International Covenant on Civil and Political Rights - ICCPR) ซึ่งในปัจจุบันมีรัฐภาคี 75 แห่ง หลังจากเบนินและมองโกเลียได้ให้สัตยาบันเมื่อต้นปีนี้เอง และเมื่อเร็ว ๆ นี้มาดากัสการ์ก็ได้ลงนามเช่นกัน
แม้แต่บางประเทศที่มีการประหารชีวิตอย่างแพร่หลายก็แสดงถึงความก้าวหน้าเช่นกัน อย่างในสหรัฐฯ รัฐหลายแห่งได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตแล้ว
การปฏิรูป
อีกกลุ่มประเทศหนึ่งที่ยังคงใช้โทษประหารชีวิต ได้ทำการปฏิรูปที่สำคัญเพื่อลดจำนวนประเภทความผิดที่มีโทษประหารชีวิต
ในปี 2554 รวมทั้งจีน แกมเบียและไต้หวัน จีนซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการประหารชีวิตบุคคลสูงสุดในโลกในปัจจุบัน ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตสำหรับความผิดที่ไม่รุนแรง 13 ประเภท และในกรณีที่จำเลยมีอายุกว่า 75 ปี แต่อันที่จริงความผิดที่มีโทษประหารชีวิตที่ยกเลิกไปมักไม่ค่อยเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่ในขณะเดียวกันจีนก็ได้ขยายบทลงโทษประหารสำหรับความผิดทางอาญาเพิ่มเติมอีก
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลต่อต้านโทษประหารชีวิตในทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงยังเกิดขึ้นในลักษณะสะสม ทางองค์กรจึงยังคงต้องรณรงค์เพื่อให้รัฐทุกแห่งยกเลิกการประหารชีวิตสำหรับนักโทษประหารที่กระทำความผิดตอนที่ยังเป็นผู้เยาว์ รวมทั้งผู้ที่มีอาการทางจิตหรือมีความบกพร่องทางสติปัญญา
ทางองค์กรยังกระตุ้นประเทศต่าง ๆ ให้ปฏิบัติตามมาตรฐานระหว่างประเทศทุกประการเกี่ยวกับการใช้โทษประหารชีวิตเป็นอย่างน้อย รวมทั้งมาตรฐานที่ส่งเสริมให้ใช้โทษประหารเฉพาะกรณีที่ถือว่าเป็น “อาชญากรรมร้ายแรงสุด” โดยให้หลีกเลี่ยงการนำมาใช้กับความผิดด้านยาเสพติด ซึ่งมักเป็นกรณีที่เกิดขึ้นในประเทศอิหร่าน ซาอุดิอาระเบีย และสิงคโปร์ และหลีกเลี่ยงการนำมาใช้กับความผิดที่ไม่เป็นเหตุให้เสียชีวิต
เสียงต่อต้านเล็ก ๆ
แม้ว่ารัฐที่ยังคงประหารชีวิตจะกลายเป็นประเทศกลุ่มน้อยลงไปเรื่อย ๆ แต่การสังหารนอกกระบวนการกฎหมายยังดำเนินต่อไป
ในทุกปีนอกจากจำนวนผู้ถูกประหารในจีนซึ่งไม่มีใครทราบข้อมูลแล้ว หลายประเทศรวมทั้งอิหร่าน สหรัฐฯ เยเมน และเกาหลีเหนือต่างก็ประหารชีวิตบุคคลหลายครั้ง
ในปี 2555 อิรัก เขตยึดครองของปาเลสไตน์บริเวณฉนวนกาซาที่อยู่ใต้การปกครองของกลุ่มฮามัส และซาอุดิอาระเบียมีการประหารชีวิตเพิ่มขึ้น เกือบหนึ่งในสามของผู้ถูกประหารในซาอุดิอาระเบียในปี 2555 เป็นผู้ต้องโทษในคดียาเสพติด รวมทั้งพลเมืองต่างชาติจำนวนมาก นับแค่ถึงเดือนตุลาคมก็มีการประหารชีวิตไปแล้ว 65 คน ในอิรัค ในปีนี้มีการประหารชีวิตบุคคล 119 คน เพิ่มจากจำนวนเท่าที่ทราบในปี 2554 เกือบสองเท่า
สำหรับแนวโน้มที่ค่อนข้างเลวร้าย หลายประเทศได้เริ่มรื้อฟื้นการประหารชีวิตบุคคลเมื่อเร็ว ๆ นี้รวมทั้งที่บอตซาวานา ญี่ปุ่น และแกมเบีย ที่อินเดีย มีการขู่จะเริ่มการประหารชีวิตบุคคลใหม่ ในหลายกรณีการรื้อฟื้นการประหารชีวิตเกิดขึ้นหลังจากที่ยุติการประหารไปเป็นเวลานาน อย่างเช่นแกมเบียซึ่งในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมาไม่มีการประหารชีวิตบุคคลเลย
การเลือกปฏิบัติยังเป็นปัญหาสำคัญในการกำหนดโทษประหาร บ่อยครั้งที่ผู้ต้องโทษประหารมักเป็นจำเลยที่ขัดสนด้านการเงิน ไม่สามารถเข้าถึงทนายความ หรือไม่เข้าใจภาษาท้องถิ่นที่ใช้ในการพิจารณาคดี
นอกจากนี้ยังมักมีการนำโทษประหารชีวิตมาใช้กับความผิด “ด้านการก่อการร้าย” ความผิดเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกัน และความผิด “ด้านศาสนา” ซึ่งล้วนเป็นความผิดที่มีการนิยามอย่างคลุมเครือ
ในบางประเทศ คนที่ต้องโทษประหารชีวิตมีแนวโน้มจะเป็นประชากรกลุ่มชาติพันธุ์หรือกลุ่มศาสนากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง อย่างเช่น ชาวเคิร์ด และศาสนิกที่เป็นชนกลุ่มน้อยในอิหร่าน
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยังคงกระตุ้นให้รัฐทุกแห่งยกเลิกโทษประหารชีวิตต่อไป
แต่ก่อนที่พวกเขาจะยกเลิกโทษประหารชีวิต จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูแลให้กระบวนการทั้งหมดสอดคล้องกับมาตรฐานการพิจารณาคดีที่เป็นธรรมระหว่างประเทศ กล่าวคือกระบวนการตั้งข้อหาและขั้นตอนปฏิบัติที่เกี่ยวข้องต้องโปร่งใส และการกำหนดบทลงโทษให้เป็นไปตามการพิจารณาของศาลตามกฎหมาย รัฐบาลยังมีพันธกรณีต้องรายงานการลงโทษประหารทุกครั้งและกรณีที่มีการประหารชีวิตบุคคล
“ไม่มีระบบยุติธรรมทางอาญาใดในโลกที่สมบูรณ์แบบ แม้จะมีหลักประกันอยู่ในตัวบทกฎหมายก็ตาม แต่ก็มีความเสี่ยงอย่างมากที่จะเกิดการประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์ ไม่มีเหตุผลที่ชอบธรรมให้รัฐกระทำการที่มีความเสี่ยงเช่นนั้น” บราวน์กล่าว
“ความเป็นไปได้เช่นนี้และลักษณะที่ไม่อาจแก้ไขกลับคืนของโทษประหาร เป็นเหตุผลสำคัญสองประการที่ทำให้เรายังคงรณรงค์ให้รัฐทุกแห่งที่ยังคงประหารชีวิตบุคคล ให้ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น โดยหวังว่าพวกเขาจะเข้าร่วมกับประเทศส่วนใหญ่ในโลกซึ่งได้ยกเลิกการลงโทษที่โหดร้ายและไร้มนุษยธรรมมากสุด”
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเริ่มการรณรงค์ระดับโลกให้ยุติโทษประหารในทุกกรณีตั้งแต่ปี 2520
เราได้ทำงานร่วมกับสมาชิกของพันธมิตรต่อต้านโทษประหารชีวิต (World Coalition Against Death Penalty) เพื่อส่งเสริมให้มีการกำหนดกฎหมายระดับประเทศเพื่อยกเลิกโทษประหาร เรียกร้องให้ประเทศอื่น ๆ ให้สัตยาบันรับรองพิธีสารเลือกรับฉบับที่ 2 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อยกเลิกโทษประหารชีวิต สนับสนุนมาตรฐานระหว่างประเทศเพื่อยกเลิกหรือจำกัดการใช้โทษประหาร และสนับสนุนให้รับรองมติของที่ประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งที่ 4 ซึ่งเรียกร้องให้มีความตกลงชั่วคราวเพื่อยุติการประหารชีวิต ทั้งนี้โดยมุ่งไปสู่การยกเลิกโทษประหารชีวิตในปลายปี 2555
