เปิดคำฟ้องศาลปกครอง ขอระงับประมูล 3G
ดูกันละเอียด คำฟ้องนักวิชาการอิสระ ขอศาลปกครองสั่งระงับประมูล 3G ชี้ ปชช.ไม่ได้ประโยชน์สูงสุด

ในวันที่ 10 ต.ค. นายอนุภาพ ถิรลาภ นักวิชาการอิสระ ได้เดินทางไปที่ศาลปกครองกลาง เพื่อยื่นฟ้องคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในคดีหมายเลขดำที่ 2635/2555 เนื่องจากการติดตามข้อมูลเรื่องการจัดการประมูลคลื่นความถี่ระบบ 3G ย่าน 2.1 GHz ของ กสทช. ข้อกำหนดที่เกี่ยวกับประมูลยังมิได้แสดงให้เห็นว่าประชาชนจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการจัดสรรคลื่นความถี่ดังกล่าว ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดรัฐะรรมนูญ มาตรา 47 ที่ระบุว่า “คลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ” โดยคำฟ้องดังกล่าวมีทั้งหมด 10 หน้า แต่มีสาระสำคัญดังนี้
นายอนุภาพอ้างเหตุในการฟ้องว่า เป็นผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ หมายเลข 086-899-89XX หมายเลข 085-361-53XX และหมายเลข 086-000-88XX ได้ใช้และมีความประสงค์จะใช้บริการโทรทัศน์เคลื่อนที่ในระบบ 3G
คำบรรยายฟ้องของนายอานุภาพมีข้อความโดยสรุปว่า ด้วยกิจการโทรคมนาคมเป็นกิจการที่มีลักษณะผูกขาดในลักษณะต่างๆ ที่จำกัดทางเลือกและอำนาจการต่อรองในการใช้บริการของผู้ใช้บริการโดยตรง และที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนโดยรวม เช่น การใช้และครอบครองความถี่วิทยุที่มีอยู่อย่างจำกัด การมีผู้ให้บริการโครงข่ายน้อยราย และความซับซ้อนและเข้าใจยากของการให้บริหาร ดังนั้น ในกิจการโทรคมนาคมในประเทศต่างๆ จึงมีหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อกำกับดูแลการดำเนินกิจการและการประกอบการของผู้ให้บริการ เพื่อเป็นการลดผลกระทบในทางลบและก่อให้เกิดผลกระทบในทางบวกแก่ผู้ใช้บริการโดยตรงและต่อประชาชนโดยรวม
ดังนั้นผู้ฟ้องคดี (นายอานุภาพ) ซึ่งเป็นผู้ใช้บริการโดยตรงและเป็นประชาชนคนหนึ่ง จึงเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหาย อันเนื่องจากการกระทำของ กสทช.ในการจัดสรรคลื่นความถี่ระบบ 3G ย่าน 2.1 GHz
เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน กสทช.พึงจะต้องออกประกาศ ระเบียบ และ/หรือ มติอื่นใดตามกฎหมาย ในการจัดสรรคลื่นความถี่ระบบ 3G ย่าน 2.1 GHz ที่อย่างน้อยครอบคลุมถึงประเด็นที่จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ดังต่อไปนี้
1.พื้นที่และระยะเวลาที่จะได้รับบริการ ที่จะต้องครอบคลุมประชาชนทั่วประเทศในระยะเวลาที่ทัดเทียมกัน โดยไม่สัมพันธ์กับระดับรายได้และปริมาณการใช้บริการ
เพราะ กสทช.กำหนดเพียงว่าผู้ที่ได้รับการจัดสรรคลื่นความถี่จะต้องให้บริการครอบคลุมทุกจังหวัด โดยครอบคลุมประชากร 20% กับ 50% ใน 2 ปี และ 30% กับ 80% ใน 4 ปี สำหรับผู้ที่ได้รับจัดสรรคลื่นความถี่ขนาด 2x10 และ 2x5 MHz ตามลำดับ ซึ่งหากเป็นไปตามที่ กสทช.กำหนด จะมีพื้นที่ๆ ประชาชนอยู่อาศัยถึง 20% ไม่ได้รับการบริการอย่างน้อย 20% เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 4 ปี ซึ่งเป็นการลดทอนประโยชน์อันพึงมีพึงได้ประการสำคัญของเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่จะสามารถติดต่อสื่อสารได้ในทุกพื้นที่
ทั้งนี้ในข้อเท็จจริงการติดตั้งโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ สามารถทำให้ครอบคลุมทั่วประเทศได้ ขึ้นอยู่กับการลงทุนและแผนงานการบริหารการติดตั้ง มิใช่ความเป็นไปได้ทางเทคนิค ยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่น ที่เริ่มให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบ 3G ให้ครอบคลุมพื้นที่ถึง 90% ได้ในปีที่ 3 ดังนั้น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด กสทช.ต้องกำหนดพื้นที่และระยะเวลาที่จะได้รับบริการที่จะต้องครอบคลุมประชาชนทั้งประเทศในเวลาที่ทัดเทียมกัน ซึ่งผลกระทบจากการกำหนดดังกล่าว อาจทำให้ กสทช.ได้รับเงินจากการประมูลน้อยลง แต่ประชาชนจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้บริการทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น
2.คุณภาพในการให้บริการ ซึ่งอย่างน้อยจะต้องครอบคลุมถึงความเสถียรของโครงข่ายและคุณภาพของสัญญาณในระดับสูงสุดที่มาตรฐานทางเทคนิคจะให้บริการได้
ตามประกาศ กสทช.เรื่องมาตรฐานของคุณภาพการให้บริการโทรคมนาคมประเภทข้อมูลสำหรับโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ พ.ศ.2555 ไม่ได้กำหนดค่าร้อยละของระยะเวลาที่ไม่สามารถให้บริการผ่านคลื่นความถี่วิทยุ (Radio Network Unavailability หรือ RNU) เพียงให้รายงานค่าทุกไตรมาสโดยไม่มีการกำหนดเป้าหมายขั้นต่ำ ซึ่งหากการประมูล 3G ย่าน 2.1 GHz เป็นไปตามที่ กสทช.กำหนด ผู้ใช้บริการก็จะมิได้รับความคุ้มครองจากความเสถียรของโครงข่ายการสื่อสารอาจจะไม่สามารถใช้บริการได้เป็นระยะเวลานานเท่าใดก็ได้ ผู้ใช้บริการจะไม่มีหลักประกันใดว่า จะสามารถติดต่อสื่อสารได้ตลอดเวลา (หรือเกือบตลอดเวลา) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาจำเป็น เร่งด่วน หรือฉุกเฉิน
นอกจากนี้ ผู้ใช้บริการจะเสียผลประโยชน์จากการที่ กสทช.เพียงกำหนดให้ค่าพารามิเตอร์ของคุณภาพของบริการดาว์นโหลด มีความเร็วเฉลี่ยในการส่งข้อมูลของ FTP สำหรับ 3G ขึ้นไปไม่ต่ำกว่า 345 Kpbs สำหรับ 75% ของการรับส่ง FTP ที่สำเร็จภายในเวลาที่กำหนด (Timeout) อีกทั้งไม่มีการกำหนดค่าขั้นต่ำสำหรับการบริการภาพเคลื่อนไหว
ทั้งนี้ในข้อเท็จจริง การกำหนดค่าพารามิเตอร์ของคุณภาพของบริการของประเทศต่างๆ มักจะอ้างอิงข้อเสนอแนะของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunicaton Union) โดยจะคำนึงถึงความเป็นไปได้ทางเทคนิคและประโยชน์สูงสุดที่ประชาชนจะได้รับจากข้อกำหนดเหล่านั้น เช่น ในประเทศอูกันดา ได้กำหนดให้ความสามารถให้การให้บริการโครงข่าว ต้องมากกว่า 99% และ 95% สำหรับโครงข่ายหลักและโครงข่ายกระจาย ตามลำดับ หมายถึง RNU จะต้องน้อยกว่า 5% ขณะที่ความเร็วในการรับข้อมูลของโครงข่าย 3G จะแบ่งเป็นความเร็วในขณะเดินหรืออยู่กับที่ 2048 Kpbs ขณะขับรถ 348 Kpbs ขณะที่ กสทช.กำหนดไว้แค่ 345 Kpbs ค่าเดียว
ดังนั้น กสทช.จะต้องกำหนดคุณภาพในการให้บริการ ซึ่งอย่างน้อยจะต้องครอบคลุมถึงความเสถียรของโครงข่ายและคุณภาพของสัญญาณในระดับสูงสุดที่มาตรฐานทางเทคนิคจะให้บริการได้เป็นการล่วงหน้าก่อการประมูล 3G ย่าน 2,1 GHz ซึ่งผลกระทบจากการกำหนดดังกล่าว อาจทำให้ กสทช.ได้รับเงินจากการประมูลน้อยลง แต่ประชาชนจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการใช้บริการจากโครงข่ายที่มีความเสถียรสูง และความเร็วในการใช้บริการในอัตราสูงสุดตามมาตรฐานทางเทคนิค
3.อัตราค่าบริการขั้นสูงที่ผู้ให้บริการจะเรียกเก็บได้ รวมทั้งสัญญามาตรฐานตามประกาศ กทช. (ซึ่ง กสทช.นำมาบังคับใช้โดยอนุโลม) เรื่องมาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ.2549
ประเด็นนี้ กสทช.มิได้มีข้อกำหนดใดๆ ที่เกี่ยวกับอัตราค่าบริการขั้นสูงที่ผู้ให้บริการจะเรียกเก็บได้ในจัดสรรคลื่นนความถี่ และไม่เคยมีการกำหนดอัตราค่าบริการสำหรับบริการทางด้านข้อมูลใดๆ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทำให้ผู้ใช้บริการจะไม่ได้รับความคุ้มครองทางด้านราคาจากการที่มีผู้ให้บริการน้อยราย โดยเฉพาะในตลาดที่ยังมีลักษณะกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด เช่น ในประเทศไทยที่ยังคงมีผู้ให้บริการหลักเพียง 3 ราย (และมีแนวโน้มจะมีเพียง 3 รายต่อไปอีก 15 ปีข้างหน้า)
ในข้อเท็จจริง กสทช.ได้ยินยอมให้มีการให้บริการ 3G ในประเทศไทยแล้ว โดยมิได้ออกใบอนุญาตหรือระงับการบริการของผู้ที่ไม่มีใบอนุญาตในการให้บริการ การบริการที่ผ่านมาผู้ให้บริการก็ได้กำหนดอัตราค่าบริการและเงื่อนไขในการบริการโดยลำพัง โดยมิขออนุญาตหรือกำหนดภายใต้กฎเกณฑ์การกำกับใดๆ โดยเฉพาะอัตราค่าบริการและเงื่อนไขการให้บริการทางด้านข้อมูล
ในตลาดที่ยังมีลักษณะกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด เช่นในประเทศไทย ที่ยังคงมีผู้ให้บริการหลักเพียง 3 ราย ผู้ให้บริการก็ไม่มีความจำเป็นต้องแข่งขันทางด้านราคา และ/หรือเงื่อนไขในการให้บริการมากนัก โดยเฉพาะผู้ใช้บริการรายย่อยที่ไม่มีอำนาจต่อรอง ยกตัวอย่างเช่น ราคาขายปลีกสำหรับการบริการทางด้านข้อมูลของผู้ใช้บริการรายย่อยในปัจจุบัน เฉลี่ยอยู่ที่อัตรา 10 บาทต่อ MHz ทั้งที่ควรจะเป็นแค่ 1 บาทต่อ Mhz หรือต่ำกว่า อีกทั้งราคาบริการทางด้านเสียงซึ่งสามารถลดลงได้จากเทคโนโลยีที่สามารถส่งสัญญาณได้เร็วเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบเดิม ก็มิได้ลดลงแต่ประการใด
ดังนั้น กสทช.จะต้องกำหนดอัตราค่าบริการขั้นสูงที่ผู้ให้บริการจะเรียกเก้บได้ รวมทั้งสัญญามาตรฐานตามประกาศ กสทช.เอง เป็นการล่วงหน้า ก่อนการประมูล 3G ย่าน 2.1 GHz ซึ่งผลกระทบจากการกำหนดดังกล่าว อาจทำให้ กสทช.ได้รับเงินประมูลน้อยลง แต่ประชาชนจะได้ประโยชน์สูงสุดจากอัตราค่าบาริการและเงื่อนไขในการให้บริการที่เป็นธรรม
“ข้าพเจ้าจึงต้องนำคดีมาฟ้องต่อศาลเพื่อขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง
1.สั่งให้ กสทช.ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 47
2.สั่งให้ กสทช.จัดทำตัวแบบและเงื่อนไขในการจัดสรรคลื่นความถี่ ระบบ 3G ย่าน 2.1 GHz ที่กำหนดผลประโยชน์อันพึงมีพึงได้ของผู้ใช้บริการโดยตรงและประชาชนโดยทั่วไปให้เป็นสำคัญ และเป็นข้อกำหนดที่ชัดเจนและครบถ้วนก่อการจัดสรรความถี่อย่างน้อยในประเด็นต่อไปนี้
2.1 พื้นที่และระยะเวลาที่จะได้รับบริการ ที่จะต้องครบคลุมประชาชนทั้งประเทศในระยะเวลาที่ทัดเทียมกัน โดยไม่สัมพันธ์กับระดับรายได้และปริมาณการใช้บริการ
2.2 คุณภาพในการให้บริการ ซึ่งอย่างน้อยจะต้องครบคลุมถึงความเสถียรของโครงข่ายและคุณภาพของสัญญาณในระดับสูงสุดที่มาตรฐานทางเทคนิคจะให้บริการได้
2.3 อัตราค่าบริการขั้นสูงที่ผู้ให้บริการจะเรียกเก็บได้ รวมทั้งสัญญามาตรฐานตามประกาศ กสทช.
3.สั่งให้ กสทช.ยุติการจัดสรรคลื่นความถี่ ระบบ 3G ย่าน 2.1 GHZ ไว้ก่อนจนกว่าจะได้จัดทำประกาศ ระเบียบ และ/หรือมติใดตามกฎหมายที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 47 และตัวแบบและเงื่อนไขในการจัดสรรคลื่นความถี่ในข้อ 2 จะเสร็จ และ/หรือ จนกว่าคดีจะถึงที่สุด”
