ไครซิสกรุ๊ป ชี้ ความหวังปรองดองในไทยแค่ริบหรี่ แนะเลือกตั้งเร็วให้รัฐบาลใหม่"ประสานรอยแยก"
ทีมข่าวอิศรา
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
รายงานฉบับล่าสุดของอินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ป หรือไอซีจี องค์กรพัฒนาเอกชนที่ติดตามศึกษาปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก ระบุถึงสถานการณ์การเมืองของประเทศไทยภายหลังรัฐบาลสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง และกำลังเดินหน้าแผนปรองดองแห่งชาติ โดยชี้ว่ามีความเป็นไปได้น้อยมากที่การปรองดองอย่างแท้จริงจะเกิดขึ้น พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) โดยทันที
รายงานฉบับนี้ใช้ชื่อว่า "ประสานรอยแยกในประเทศไทย" อธิบายสถานการณ์การเมืองไทยว่า ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชนชั้นนำและกลุ่มผู้สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ได้ก่อให้เกิดความแตกแยกอย่างรุนแรงในสังคมไทย ในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมาได้เกิดเหตุการณ์เผชิญหน้ากันทางการเมืองซึ่งรุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ และทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 90 คน บาดเจ็บอีกเกือบ 2,000 คน เหตุการณ์นั้นยังคงทิ้งรอยแผลลึกในความรู้สึกของคนในชาติ
ก่อนหน้าที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะตัดสินใจใช้ทหารเข้าสลายการชุมนุม รัฐบาลได้เสนอแผนปรองดองแห่งชาติกับฝ่ายที่ต่อต้าน และขณะนี้รัฐบาลก็ยังคงพยายามดำเนินการตามแผนนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็ได้ดำเนินการปราบปรามกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ "กลุ่มคนเสื้อแดง" ด้วย ขณะที่การบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ได้จำกัดสิทธิขั้นพื้นฐานของกลุ่มคนเสื้อแดง
“มีความเป็นไปได้น้อยมากที่การปรองดองอย่างแท้จริงจะเกิดขึ้นได้เมื่อเป็นข้อเสนอจากรัฐบาลที่รับผิดชอบโดยตรงต่อการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งทำให้ผู้คนบาดเจ็บและเสียชีวิต รวมถึงยังคงมีการปรามปรามอยู่ในขณะนี้” นายจิม เดลา-จิอาโคม่า ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของอินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ป กล่าว และว่า “สัญญาณแรกที่จะบ่งบอกถึงความพยายามที่จะเชื่อมสะพานอีกครั้งหนึ่งก็คือการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข”
รายงานฉบับนี้เผยแพร่สู่สาธารณะเมื่อวันที่ 5 ก.ค. แต่ถัดจากนั้นเพียง 1 วัน คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติให้ต่ออายุการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปอีก 3 เดือนใน 19 จังหวัดจาก 24 จังหวัดที่ประกาศไว้เดิม โดยหนึ่งใน 19 จังหวัดมีกรุงเทพมหานคร (กทม.) รวมอยู่ด้วย
รายงานของอินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ป ระบุอีกว่า เจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจอย่างกว้างขวางภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ก่อนหน้านี้บังคับใช้อยู่ใน 24 จังหวัด หรือหนึ่งในสามของประเทศ เจ้าหน้าที่ได้ห้ามการชุมนุมทางการเมือง ปิดสื่อ คุมขังแกนนำคนเสื้อแดงและระงับการทำธุรกรรมการเงินของคนที่ถูกมองว่าเป็นผู้สนับสนุนทางการเงิน
การปรองดองจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ในสภาวะที่ผู้ที่ควรจะมีส่วนอย่างยิ่งยวดในการเข้าร่วมกระบวนการนี้กำลังถูกละเมิดสิทธิทางการเมืองและอยู่ในสภาพที่ต้องหลบหนีการจับกุม เมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงไม่มีโอกาสในการแสดงความคิดเห็นอย่างสันติและเปิดเผยอันเป็นผลจากกฎหมายอันรุนแรงที่บังคับใช้อยู่นี้ ก็เสมือนเป็นการผลักพวกเขาให้ลงไปสู่ใต้ดินและมีโอกาสที่จะนำไปสู่การกระทำที่รุนแรง
การแสวงหาข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ความรุนแรงและการนำคนที่กระทำความผิดทางอาญาของทุกๆ ฝ่ายมาลงโทษเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญในการสร้างความปรองดองในชาติ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มี นายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด เป็นหัวหน้าคณะนั้น ไม่ควรแต่จะแสวงหาความจริงเพียงเท่านั้น แต่ควรจะริเริ่มกระบวนการทางกฎหมายเพื่อนำคนที่สอบสวนแล้วว่าได้กระทำการผิดกฎหมายและก่อความรุนแรงมาลงโทษ
การที่รัฐบาลใช้ข้อหาก่อการร้ายดำเนินคดีกับแกนนำคนเสื้อแดงเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุกับการชุมนุมประท้วงที่โดยส่วนใหญ่แล้วสันติและไม่ได้มีความมุ่งประสงค์ในการทำร้ายพลเรือน การตั้งข้อหานี้เป็นการมองแบบสั้นๆ ซึ่งจริงๆ แล้วคนกลุ่มนี้เป็นผู้ที่จะต้องเข้ามาร่วมกระบวนการปรองดองเพื่อแก้ปัญหาอันยากลำบากที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่
นอกจากนี้ ในระยะยาวประเทศไทยจะต้องพิจารณาเรื่องการปฏิรูปการเมืองในระดับกว้าง ซึ่งรวมถึงระบบการบริหารการปกครอง รัฐธรรมนูญ รวมถึงสถาบันต่างๆ และกองทัพ จำเป็นจะต้องมีการกระจายรายได้ที่เท่าเทียม ให้ทุกฝ่ายเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเสมอภาค และมีการกระจายอำนาจมากขึ้น
“การเลือกตั้งจะต้องเกิดขึ้นโดยเร็ว และเป็นจุดเริ่มต้นไม่ใช่จุดสุดท้ายของกระบวนการปรองดอง” นายโรเบิร์ต เทมเพลอร์ ผู้อำนวยการโครงการเอเชียของอินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ป กล่าว และว่า “รัฐบาลใหม่ที่มีความชอบธรรมจากการเลือกตั้งโดยประชาชนและได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายเท่านั้นที่จะสามารถผลักดันการปฏิรูปให้เดินไปข้างหน้าได้”
บทคัดย่อ "ประสานรอยแยกในประเทศไทย"
(หมายเหตุ : อินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ป ได้จัดทำบทคัดย่อของรายงานที่ชื่อ "ประสานรอยแยกในประเทศไทย" โดยได้สรุปสถานการณ์การเมืองไทยในรอบหลายปีที่ผ่านมาเพื่อสะท้อนให้เห็นต้นตอและลำดับความเป็นมาของปัญหา พร้อมเสนอทางออกเอาไว้อย่างน่ารับฟัง)
"การต่อสู้อันยืดเยื้อระหว่างฝ่ายชนชั้นนำกับกลุ่มที่สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถูกโค่นอำนาจลงส่งผลให้เกิดความแตกแยกที่รุนแรงในสังคมไทยและนำไปสู่การเผชิญหน้าทางการเมืองที่รุนแรงสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา มีผู้คนเสียชีวิตและบาดเจ็บเกือบ 2,000 ชีวิตซึ่งทำให้เกิดบาดแผลที่ร้าวลึกในความรู้สึกของคนในชาติ
แผนการปรองดองแห่งชาติซึ่งเสนอโดยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพียงฝ่ายเดียวไม่อาจนำไปสู่การแก้ปัญหาได้หากปราศจากการมีส่วนร่วมของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งรวมถึงอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ กระบวนการสอบสวนความรุนแรงที่น่าเชื่อถือ การปฏิรูปกฎหมายที่มีผลอย่างยั่งยืน รวมถึงการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไม่อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจากการมีส่วนร่วมของกลุ่มคนเสื้อแดง สิ่งเหล่านี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากแกนนำคนเสื้อแดงยังคงถูกควบคุมตัว ปราบปรามหรือต้องหลบหนี
บททดสอบแรกว่าประเทศนี้จะสามารถกลับคืนสู่หนทางที่ถูกต้องได้หรือไม่ หรือยังคงหลงทาง อยู่ที่ความสามารถที่จะจัดการเลือกตั้งครั้งใหม่ให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย ยุติธรรม และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย รัฐบาลไทยควรยกเลิกพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีผลบังคับใช้ในหลายพื้นที่ของประเทศ ซึ่งเสี่ยงต่อการทำลายระบอบประชาธิปไตย อีกทั้งยังเป็นอุปสรรคขัดขวางการปรองดองและยังเป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความขัดแย้งที่รุนแรงต่อไปในภายภาคหน้าอีกด้วย
การเมืองไทยได้เปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นอดีตนายตำรวจและเจ้าของกิจการโทรคมนาคมได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งในปี 2544 และ 2548 ความนิยมของเขาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในหมู่คนยากจนซึ่งได้รับประโยชน์จากโครงการประชานิยม เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ในเวลาเดียวกัน การปกครองที่ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จซึ่งมีการคอร์รัปชั่นมากขึ้นก็ทำให้ชนชั้นกลางในเมืองไม่พอใจ ส่วนชนชั้นนำฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็กลัวว่าความนิยมในตัวทักษิณจะกลายเป็นสิ่งที่ท้าทายอำนาจของพวกเขา
พลังของฝ่ายชนชั้นนำประกอบไปด้วยคณะองคมนตรี ทหาร และฝ่ายตุลาการ โดยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) หรือที่เรียกว่า "กลุ่มเสื้อเหลือง" การเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ เหล่านี้ประสานสอดคล้องกันในการขจัด พ.ต.ท.ทักษิณ ออกจากการเมืองและลดอิทธิพลของเขาลง
ช่วงต้นปี 2549 กลุ่ม พธม. ได้ท้าทายรัฐบาลทักษิณครั้งแรกด้วยการเดินขบวนประท้วง ต่อมาทหารก็ก่อการรัฐประหารขับไล่รัฐบาลออกไป ศาลได้มีคำสั่งยุบพรรคไทยรักไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม 2550 ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ลี้ภัยอยู่ต่างแดน แต่พรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นพรรคที่ตั้งขึ้นมาแทนและได้ขึ้นสู่อำนาจก็ถูกศาลสั่งยุบพรรคในช่วงปลายปี (2551) อีกเช่นกัน
พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้นภายใต้แรงสนับสนุนของทหารโดยไม่ได้มีการเลือกตั้งใหม่ และนายอภิสิทธิ์ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
แม้จะต้องสูญเสียอำนาจจากการรัฐประหาร แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังไม่สิ้นอิทธิพล ผู้สนับสนุนของเขาเคลื่อนไหวในนามกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งการเคลื่อนไหวก็มีความกว้างขวางมากกว่าการต่อสู้เพียงเพื่อบุคคลคนเดียว กลุ่มเสื้อแดงมีแกนนำที่หลากหลาย ทั้งสมาชิกรัฐสภา นักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง และนักจัดรายการวิทยุซึ่งเป็นที่นิยม แต่แกนนำเหล่านี้ก็ไม่มีเอกภาพกันเสียทีเดียว
นปช.ได้รับความสนับสนุนจากคนจนทั้งในเมืองและชนบทซึ่งได้กลายเป็นพลังสำคัญที่เดินขบวนประท้วงขับไล่รัฐบาลที่ทหารแต่งตั้งขึ้น และต่อมาได้ต่อต้านรัฐบาลอภิสิทธิ์ซึ่งเป็นรัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มชนชั้นนำ ภายหลังจากที่ศาลตัดสินให้ยึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ กลุ่มนปช.ก็ได้เดินขบวนอีกครั้งและเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง
การเข้ายึดพื้นที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ซึ่งเป็นย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ และการบุกเข้าไปในรัฐสภาเป็นเหตุให้รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในกรุงเทพฯ และพื้นที่ปริมณฑลเมื่อวันที่ 7 เมษายน ซึ่งทำให้การชุมนุมประท้วงเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย รัฐบาลได้สั่งปิดสื่อและมีการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยโดยไม่ต้องตั้งข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯได้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่อย่างกว้างขวางและปกป้องเจ้าหน้าที่จากการถูกฟ้องร้องดำเนินคดี
จนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯได้ถูกประกาศในพื้นที่ทั้งหมด 24 จังหวัดซึ่งนับเป็นพื้นที่หนึ่งในสามของประเทศ การปะทะกันครั้งสำคัญสองครั้งในเดือนเมษายนและพฤษภาคม และเหตุการณ์รุนแรงอีกหลายครั้งทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 90 คน ก่อนที่ทหารจะเข้าสลายการชุมนุมด้วยการใช้อาวุธปืนจริง
หลังสลายการชุมนุม รัฐบาลเชื่อว่าตนเองประสบชัยชนะและสามารถฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองได้แล้ว แต่อันที่จริงรัฐบาลประเมินความแตกแยกอันลึกซึ้งที่เกิดขึ้นจากการใช้ความรุนแรงต่ำเกินไป แผนปรองดองแห่งชาติที่รัฐบาลประกาศนั้นไม่เพียงพอ จำเป็นที่รัฐบาลจะต้องหาฉันทามติทางการเมืองครั้งใหม่โดยให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียม ต้องลดการพูดจาจ้วงจาบรุนแรงใส่กัน รวมทั้งยุติการใช้ข้อหา “ก่อการร้าย” กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และแกนนำ นปช.
ในส่วนของแกนนำกลุ่ม นปช. พวกเขาควรประกาศอย่างเปิดเผยว่าจะไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ยอมรับบทบาทฝ่ายที่ติดอาวุธและเรียกร้องให้สมาชิกกระทำตาม ผู้ที่ชุมนุมอย่างสันติควรได้รับสิทธิในการดำเนินการทางการเมืองกลับคืนมา การฟ้องร้องดำเนินคดีต่อพฤติการณ์ที่เป็นความผิดทางอาญาทั้งในอดีตและอนาคตควรจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน
ในระยะยาว ประเทศไทยต้องครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งถึงการปฏิรูประบบการเมืองในระดับกว้าง ซึ่งรวมถึงบทบาทของสถาบันต่างๆ และกองทัพ จำเป็นจะต้องมีการกระจายรายได้ที่เท่าเทียม ให้ทุกฝ่ายเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเสมอภาค และมีการกระจายอำนาจมากขึ้น การสอบสวนความรุนแรงที่เกิดขึ้นจะต้องกระทำอย่างเต็มที่โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปรองดอง การเลือกตั้งครั้งใหม่ควรจะเกิดขึ้นโดยเร็วซึ่งควรจะเป็นจุดเริ่มต้น ไม่ใช่จุดสุดท้ายของกระบวนการปรองดอง
โดยรัฐบาลชุดใหม่ที่มีความชอบธรรมจากฉันทามติที่ได้รับจากประชาชนและได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายจะเป็นผู้ขับเคลื่อนวาระการปฏิรูป และเพื่อนำไปสู่จุดนั้น รัฐบาลชุดปัจจุบันจำเป็นจะต้องเลิกการดำเนินการแบบอำนาจนิยมและหันมาสู่แนวทางที่เปิดเผย เน้นการมีส่วนร่วมและเป็นประชาธิปไตยในการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาของชาติ"
ข้อเสนอแนะ
สำหรับรัฐบาลไทย
1. ยกเลิกพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่บังคับใช้ในเขตกรุงเทพฯ และ 23 จังหวัดโดยทันที (ปัจจุบันยกเลิกไปแล้ว 5 จังหวัด : ข้อมูลโดยทีมข่าวอิศรา)
2. สอบสวนข้อเท็จจริงความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 อย่างเต็มที่ โปร่งใส และเป็นอิสระ หากการสอบสวนไม่ได้รับความเชื่อถือจากประชาชน รัฐบาลก็ควรพิจารณาความช่วยเหลือจากนานาชาติเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจต่อกระบวนการนี้
3. ยุติการใช้ข้อกล่าวหาก่อการร้ายกับแกนนำกลุ่มเสื้อแดง รวมทั้งอดีตนายกฯทักษิณด้วย และใช้บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายอาญาตามฐานความผิดต่าง ๆ แทน เช่น การทำร้ายร่างกาย การวางเพลิง หรือการครอบครองอาวุธโดยผิดกฎหมาย
4. บังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมในการดำเนินคดีอาญาต่อการชุมนุมประท้วงที่ไม่สงบสันติ ก่อกวนหรือมีความรุนแรง โดยไม่แบ่งแยกว่าเป็นสมาชิกกลุ่มการเมืองใด
5. ยุติการสั่งปิดสื่อต่างๆ ของกลุ่มเสื้อแดง สถานีวิทยุชุมชนและเว็บไซต์ และเร่งออกกฎหมายเพื่อจัดตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อควบคุมดูแลสื่อวิทยุและโทรทัศน์ เพื่อป้องกันการใช้สื่อในการกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงหรือสร้างความเกลียดชัง
6. ตระหนักว่าเสถียรภาพทางการเมืองในระยะยาวของไทยจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการพูดคุยเจรจากับอดีตนายกฯทักษิณ แทนที่จะพยายามสร้างภาพอันชั่วร้ายให้เขาต่อไป
7. พิจารณานิรโทษกรรมนักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิ 220 คนเพื่อให้พวกเขาสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้และเสริมสร้างบทบาทของรัฐสภาในการเป็นเวทีแก้ไขข้อขัดแย้งทางการเมือง
8. อนุญาตให้องค์กรต่างประเทศเข้าร่วมสังเกตการณ์การเลือกตั้งครั้งต่อไป เพื่อเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของการเลือกตั้ง
9. ดำเนินการปฏิรูปหน่วยงานความมั่นคงอย่างเข้มข้น โดยเน้นการฝึกอบรมและให้ค่าตอบแทนอย่างเหมาะสม ให้ตำรวจเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องความมั่นคงภายใน ซึ่งรวมถึงการควบคุมการจลาจลและการดูแลการชุมนุมประท้วง โดยจำกัดบทบาทของทหารเฉพาะในการป้องกันประเทศ
10. พัฒนาบริการด้านสังคมและการสนับสนุนทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับคนจน รวมถึงตอบสนองความต้องการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของพวกเขา เพื่อเป็นการช่วยลดช่องว่างความแตกต่างทางสังคมและเศรษฐกิจ
สำหรับแกนนำกลุ่มเสื้อแดง
11. ดูแลให้สมาชิกยึดมั่นต่อหลักการสันติอหิงสาในกิจกรรมที่จะกระทำในอนาคต
12. ปฏิเสธไม่ให้มีกลุ่มติดอาวุธอยู่ในขบวนการและประณามการกระทำที่รุนแรง แม้จะเป็นกลุ่มที่อ้างว่าประสงค์จะช่วยคุ้มครองสมาชิกก็ตาม
13. เมื่อมีการยกเลิกกฎหมายที่จำกัดเสรีภาพทางการเมือง ให้ความร่วมมืออย่างจริงใจในการสอบสวนหาข้อเท็จจริงของเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น การสร้างการปรองดองในชาติ การปฏิรูปกฎหมาย รวมถึงการวางแผนการเลือกตั้งในอนาคต
สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
14. สนับสนุนให้มวลชนร่วมมือเพื่อให้เกิดการเลือกตั้งอย่างสันติ และพิจารณาแนวทางที่แต่ละฝ่ายยอมรับได้สำหรับเดินทางกลับสู่ประเทศไทยของตน ทั้งนี้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามสร้างความปรองดองในชาติ
สำหรับพรรคการเมืองทุกพรรค กลุ่มนปช. และกลุ่มพธม.
15. ลงนามในข้อตกลงเพื่อช่วยให้เกิดการเลือกตั้งอย่างสันติ ควบคุมการเคลื่อนไหวของสมาชิกไม่ให้ใช้ความรุนแรงและเคารพผลการเลือกตั้ง
16. มุ่งดำเนินการเพื่อให้เกิดการเลือกตั้งระดับชาติอย่างสันติ โดยลดการใช้ถ้อยคำรุนแรงที่อาจนำไปสู่การเผชิญหน้า และตกลงกันในเรื่องกติกาการรณรงค์เลือกตั้งที่ยอมรับได้และให้สัญญาว่าจะไม่ขัดขวางการหาเสียงเลือกตั้ง
------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : สภาพอาคารและถนนหนทางย่านสามเหลี่ยมดินแดงในช่วงเหตุการณ์เผาเมืองเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา (ถ่ายโดย ปกรณ์ พึ่งเนตร)