ผ่ายุทธการทหารเคลียร์ม็อบ หยุดชุมนุมได้..แต่นับหนึ่งจลาจล!
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
ปฏิบัติการกระชับวงล้อมของทหารที่ทำให้การชุมนุมของ “กลุ่มคนเสื้อแดง” ที่ปิดสี่แยกราชประสงค์และถนนโดยรอบมานานร่วม 2 เดือนต้องยุติลง ดูจะเป็นความสำเร็จในช่วงครึ่งวันเช้าของวันที่ 19 พ.ค.เท่านั้น แต่พอตกบ่ายสถานการณ์ก็เริ่มพลิกผัน เมื่อมีกลุ่มบุคคลออกก่อจลาจลเผาเมือง
ล่าสุดรัฐบาลขยับมาตรการตามกฎหมายพิเศษอย่างพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) เพิ่มขึ้นอีกขั้น คือประกาศ "เคอร์ฟิว" หรือมาตรการห้ามประชาชนออกนอกเคหะสถานในเขตกรุงเทพมหานคร เวลา 20.00 น.ถึง 06.00 น.วันรุ่งขึ้น
และประกาศขยายพื้นที่ไปอีก 24 จังหวัดทั่วประเทศในช่วงค่ำวันเดียวกัน!
ปฏิบัติการของทหารเที่ยวนี้ กำหนดวัน ว. เวลา น. เอาไว้ คือ 03.00 น. วันพุธที่ 19 พ.ค. มีการแจกจ่ายสติ๊กเกอร์สีขาวแปะที่หมวกเหล็กเพื่อป้องกันความสับสน เพราะฝ่ายการ์ดแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ส่วนหนึ่งก็แต่งกายคล้ายทหาร
03.30 น. รถสายพานลำเลียงหุ้มเกราะเคลื่อนเข้าปิดปากซอยสำคัญบนถนนสีลมและแยกศาลาแดง ก่อนขยับกำลังพลทุกทิศทาง ทั้งบ่อนไก่ ถนนวิทยุ สวนลุมพินี สะพานไทย-เบลเยี่ยม และถนนราชปรารภ บีบเข้าสู่ใจกลางคือเวทีราชประสงค์
เสียงปืนเสียงระเบิดดังสนั่น ควันไฟจากการเผายางรถยนต์พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือกรุงเทพมหานครที่เคยกล่าวขานกันว่าเป็น "เมืองฟ้าอมร"
ยุทธการของทหารคือ "เคลียร์" ผู้ชุมนุมรอบนอกทั้งหมด เพื่อรุกคืบกดดันสี่แยกราชประสงค์ ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าปฏิบัติการสำเร็จตามแผน แกนนำจะสั่งยุติการชุมนุมไปเอง
และเหตุการณ์ช่วงก่อนบ่าย 2 โมงก็ดูจะเดินไปตามแผนนั้น มีการตั้งด่านบนถนนหลวงสายสำคัญที่จะมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ เพื่อสกัดการนำคนเข้าชุมนุมเพิ่มเติม
กำลังทหารหลักๆ ที่ใช้ล้วนเป็นกำลังพลในกรุงเทพฯ เพื่อให้มีความชำนาญพื้นที่ ไม่ให้พลาดอีกเหมือนเมื่อครั้งสี่แยกคอกวัว 10 เม.ย. ได้แก่ กองพลทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ (พล 1 รอ.) รับผิดชอบราชปรารภ-ดินแดง กับกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล ม.2 รอ.) รับผิดชอบจุดปะทะเดือด "ศาลาแดง-สารสิน" เพราะต้องใช้รถสายพานลำเลียงหุ้มเกราะเป็นแนวหน้า
แต่กำลังที่ใช้รวมจริงๆ ของกองทัพบกมีถึง 142 กองร้อย ดึงกำลังจากกองพลทหารราบที่ 9 (พล. ร.9) และกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) เข้าร่วมปฏิบัติการด้วย รวมทั้งสิ้นนับหมื่นนาย
ยังไม่นับกำลังตำรวจ 147 กองร้อย กองทัพอากาศ 3 กองร้อย และกองทัพเรืออีก 9 กองร้อย!
นี่คือกำลังทั้งหมดที่สลับกันเข้าปฏิบัติการควบคุมการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงมาตลอด แม้ไม่ได้ออกทำหน้าที่บนท้องถนนพร้อมกันทั้งหมด แต่ก็เป็นกำลังที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มีอยู่ในมือถึงกว่า 300 กองร้อย
แผนปฏิบัติถูกวางเอาไว้อย่างเงียบๆ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ถึงความ "ป้อแป้" ของ ศอฉ. จนถูกเรียกขานแบบเยาะเย้ยว่า "ศูนย์อับเฉา" แต่นั่นอาจเป็นปฏิบัติการทางข้อมูลข่าวสาร หรือ Information Operation (ไอโอ) รูปแบบหนึ่ง เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามประมาท และดักทางไม่ถูก
ก่อนจะเข้า "กระชับวงล้อม" หรือเรียกง่ายๆ ว่า "สลายการชุมนุม" จริงๆ เมื่อเช้ามืดวานนี้ มีการปล่อยข่าวลวงมาอย่างต่อเนื่องว่าจะ "เข้าคืนนี้" ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.เป็นต้นมา จนมวลชนเหนื่อยล้าแทบไม่ได้นอน
เหตุผลหนึ่งที่ฝ่ายความมั่นคงเลือก "ดีเดย์" วันพุธที่ 19 พ.ค. มีความเคลื่อนไหวที่น่าจับตา คือเพิ่งมีการจับกุม นายพิเชษฐ์ หรือ ภูมิกิตติ สุขจินดาทอง อายุ 50 ปี ซึ่งว่ากันว่าเป็น "มือขวาเสธ.แดง" ได้ก่อนหน้านี้เพียง 1 วัน ทั้งยังมีข่าวช่วงเช้าของปฏิบัติการว่าสามารถจับกุมกองกำลังชุดดำได้ถึง 20 คน
นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การดาหน้าของทหารเข้าพื้นที่ราชประสงค์เป็นไปอย่างสะดวกโยธินและ...ง่ายกว่าที่คาด!
แต่แล้วหลังบ่าย 2 โมง สถานการณ์ก็พลิกผัน เพราะมวลชนคนเสื้อแดงไม่ยอมเลิกชุมนุมตามแกนนำ ซ้ำยังไม่พอใจและรู้สึกโกรธแค้น นำมาสู่จลาจลเผาเมือง ซึ่งมีรายงานก่อนเวลา 18.00 น.วันที่ 19 พ.ค.นี้ว่า มีการเผาตึกสำคัญทั่วกรุงถึง 15 แห่ง โรงภาพยนตร์สยามถึงขั้นปิดตำนาน เพราะบางส่วนของอาคารถล่มลงมา
นี่ยังไม่นับเหตุการณ์ที่กลุ่มมวลชนคนเสื้อแดงรวมตัวกันบุกเผาศาลากลางจังหวัดอีกหลายจังหวัดในภาคอีสาน และก่อเหตุป่วนเมืองอีกหลายจุดในภาคเหนือ
กลายเป็นว่าหยุดเวทีราชประสงค์ได้ แต่เริ่มนับหนึ่งจลาจลและสงครามใต้ดินแทน!
แหล่งข่าวระดับสูงทั้งจากทหาร ตำรวจ วิเคราะห์ตรงกันว่า สถานการณ์นับจากวันนี้จะหนักยิ่งกว่าเก่า ด้วยเหตุผล 2 ประการคือ
1.คนในต่างประเทศยังอยู่ ยังไม่หยุด และสั่งการให้เดินหน้าต่อไป
2.อารมณ์ความรู้สึกของมวลชนที่ไม่เอาด้วยกับการเจรจาและยุติชุมนุม ทำให้ล่าสุดแม้แต่แกนนำนักพูดอย่าง "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ก็เอาไม่อยู่แล้ว
รูปแบบปฏิบัติการที่จะเกิดขึ้นคือ "การก่อการร้าย" เพื่อโจมตีรัฐบาลให้พะวักพะวงและอ่อนกำลัง ก่อนจะหวนกลับมาใหม่แบบใหญ่กว่าเดิม
"บทเรียนจากเมษาฯเลือดปีที่แล้ว จะพบว่าคนเสื้อแดงปรับแผนมาดีมาก สามารถยืดเวลาการต้านทานเจ้าหน้าที่ได้นานขึ้น (กว่า 2 เดือน) การเคลื่อนไหวดูเป็นระบบ มีความเป็นองค์กรสูง มีเส้นทางลำเลียง มีการระวังหลัง ฉะนั้นหลังจากนี้เชื่อว่าทุกอย่างจะลงใต้ดิน ใช้วิธีการเหมือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ คืออยู่ดีๆ ก็เกิดเหตุได้ เพราะมวลชนที่มีความพร้อมสามารถก่อเหตุได้อย่างอิสระ ประเมินว่าแม้แต่นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็อาจจะออกจากค่ายทหารไม่ได้ และจะมีการลอบยิงบุคคลสำคัญอีกอย่างแน่นอน"
ส่วน "กองกำลังชุดดำ" ที่หายไปในปฏิบัติการ "กระชับวงล้อม" นั้น นักยุทธศาสตร์ทางทหารประเมินในแง่ร้ายว่า ไม่น่าจะใช่ข่าวดี
"พวกนี้รบแบบกองโจร พอมาก็มุด พอหยุดก็แหย่ มันเป็นยุทธวิธีของเขาที่จะไม่ปะทะตรงๆ หลังจากนี้อาจจะไปประกอบกำลังกันใหม่ และจะจับกุมยากขึ้น เพราะมวลชนในพื้นที่ที่มีญาติพี่น้องเสียชีวิตจากการชุมนุมจะหันมาสนับสนุนกลุ่มเหล่านี้ การหาหลักฐานคลี่คลายคดีก็จะยาก"
นักยุทธศาสตร์ทั้งสายทหาร ตำรวจ ฟันธงตรงกัน...สงครามไม่รู้จบกำลังจะเกิดขึ้น!
ที่น่าพิจารณาอีกประเด็นหนึ่งก็คือบทบาทของ "ฝ่ายการเมือง" เพราะรัฐบาลอาศัยกำลังทหารในการจัดการทุกอย่าง แต่พยายามใช้บริบททางการเมืองน้อยเกินไป การณ์จึงกลายเป็นว่าทหารเป็นกำลังหลักที่ค้ำบัลลังก์ให้รัฐบาล นี่อาจเป็นทิศทางที่น่าจับตาอย่างยิ่งในการก้าวต่อไปของประเทศในวิถีทางประชาธิปไตย เพราะทหารไม่ใช่แค่กลไกของรัฐ แต่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาล
ดูเหมือนประเทศไทยกำลังก้าวเดินเข้าสู่หนทางอันมืดมนบนซากปรักหักพังแทบทั่วแผ่นดิน...
----------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : สภาพพื้นที่ย่านสามเหลี่ยมดินแดงก่อนเกิดจลาจลเผาเมืองไม่ถึง 24 ชั่วโมง
หมายเหตุ : บทวิเคราะห์ชิ้นนี้จะตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 20 พ.ค.2553