‘วันดื่มนมร.ร.โลก’ อ.ส.ค.หวังขยายถึงเด็กมัธยม
อ.ส.ค.แถลงวันดื่มนมร.ร.โลก ยันแก้นมบูดได้ หวังขยายเด็กมัธยม ตั้งเป้าคนไทยดื่มนมเท่าญี่ปุ่น ชี้โคนมไทยได้เปรียบในอาเซียน
วันที่ 26 ก.ย. 55 ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายชวลิต ชูขจร รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงเนื่องในวันดื่มนมโรงเรียนโลกว่า ตามที่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ(FAO) ได้กำหนดให้วันพุธสุดท้ายของเดือนกันยายนของทุกปีเป็น‘วันดื่มนมโรงเรียนโลก’(The World School Milk Day 2012) ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันพุธที่ 26 กันยายน 2555 และนับเป็นครั้งที่ 13 ที่ได้มีการจัดกิจกรรมขึ้นในกว่า 40 ประเทศทั่วโลก (สำหรับไทยจัดขึ้นเป็นปีที่ 2) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักถึงโครงการนมโรงเรียน และกระตุ้นให้เด็กและเยาวชนหันมาให้ความสำคัญกับการดื่มนมมากขึ้น โดยโครงการอาหารเสริม(นม)โรงเรียนในประเทศไทยได้ดำเนินการมาแล้ว 20 ปีนับจากปี 2535 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์ของนักเรียนและเพื่อสนับสนุนการใช้น้ำนมดิบในโครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคนมของรัฐ ซึ่งสามารถช่วยแก้ปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาดของเกษตรกรได้
ด้านนายสุชาติ จริยาเลิศศักดิ์ รองผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) กล่าวถึงผลการดำเนินงานโครงการนมโรงเรียนในรอบปีที่ผ่านมาว่า ปัจจุบันการดำเนินงานโครงการอาหารเสริมนมโรงเรียนได้จัดให้เด็กนักเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่6 ดื่มนมโรงเรียนเทอมละ 130 วัน กระจายไปยังโรงเรียนต่างๆกว่า 4 หมื่นโรงเรียนทั่วประเทศ รองรับเด็กนักเรียนกว่า 7.6 ล้านคน โดยคาดหวังต่อไปรัฐบาลจะขยายโอกาสให้นักเรียนชั้นมัธยมในช่วงวัยรุ่นได้ดื่มนมโรงเรียนด้วย โดยปัจจุบันโครงการนมโรงเรียนสามารถรองรับน้ำนมดิบของเกษตรกรได้วันละ 1,200 ตัน จากน้ำนมดิบที่ผลิตได้ทั่วประเทศ 2,800 ตัน/วัน และจัดสรรสิทธิการจำหน่ายนมให้กับผู้ประกอบการจำนวน 77 ราย รวมเป็นงบประมาณ 13,000 ล้านบาท ภายใต้ระบบการทำข้อตกลงความร่วมมือ(เอ็มโอยู)น้ำนมดิบกับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม
ทั้งนี้ยืนยันว่านมพร้อมดื่มยูเอชทีทั้งนมโรงเรียนและนมพาณิชย์ไม่มีส่วนผสมของนมผงและเป็นน้ำนมดิบที่ผลิตในประเทศ 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากอ.ส.ค.ได้กำหนดกติกาข้อห้ามไว้ชัดเจนและมีการคัดเลือกผู้ประกอบการที่มีมาตรฐานตรวจสอบได้ อย่างไรก็ดียังต้องมีการนำเข้านมผงขาดมันเนยเพื่อใช้ในการผลิตสินค้านมอื่น ๆ เช่น สินค้าเบเกอรี่ และเนื่องจากโครงการฯมีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณและมีผู้ประกอบการต้องการเข้าร่วมโครงการฯมาก จึงได้รณรงค์ให้ผู้ประกอบการทำตลาดในเชิงพาณิชย์มากขึ้นด้วย
สำหรับปัญหานมบูดในปัจจุบันพบว่าลดลงไปกว่าเดิมมาก เนื่องจากอ.ส.ค.ได้เพิ่มมาตรการตรวจสอบคุณภาพระหว่างขนส่ง โดยให้ผู้ประกอบการใช้เทอร์โมมิเตอร์ตรวจวัดอุณหภูมิความเย็นให้คงที่อยู่เสมอ อย่างไรก็ดีหากโรงเรียนพบว่านมบูดหรือไม่ได้มาตรฐาน อ.ส.ค.จะให้ผู้ประกอบการเข้าไปรับผิดชอบดูแลและเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้
โดยปัจจุบันยอดขายผลิตภัณฑ์นมของอ.ส.ค.ต่อปีอยุ่ที่ 6.5 พันล้านบาท เป็นนมโรงเรียน 2 พันล้านบาท และนมเชิงพาณิชย์ 4.5 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนของนมโรงเรียนร้อยละ45 และนมพาณิชย์ร้อยละ55 โดยอ.ส.ค.มีนโยบายลดสัดส่วนนมโรงเรียนลงไม่เกินร้อยละ 40 ในปีต่อๆไป เพื่อกระจายส่วนแบ่งการตลาดให้ผู้ประกอบการรายอื่นและเน้นอุตสาหกรรมนมพาณิชย์มากขึ้น โดยคาดว่าภายใน 5 ปีจะเพิ่มยอดขายในประเทศได้เป็น 1 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งจะขยายฐานการผลิตไปในอุตสาหกรรมนมเปรี้ยวด้วย โดยตั้งเป้าว่าภายใน 10 ปี คนไทยจะบริโภคนมเพิ่มขึ้นจาก 14 ลิตรต่อคนต่อปีเป็น 20 ลิตรต่อคนต่อปีเท่าประเทศญี่ปุ่น ในขณะที่คนในทวีปยุโรปปัจจุบันนี้บริโภคนมเฉลี่ย 100 ลิตรต่อคนต่อปี (มีผลวิจัยว่าควรดื่มนมเฉลี่ย 200 มิลลิลิตรต่อวัน) ทั้งนี้ในปี 2557 จะมีการสร้างโรงงานนมเพิ่มขึ้นอีก 1 แห่งในจ.เชียงใหม่เพื่อรองรับการขยายตลาด โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการขออนุมัติงบประมาณก่อสร้างจากคณะรัฐมนตรี
นายสุชาติกล่าวต่อว่า หากมองถึงโอกาสทางการตลาดของสินค้านมในกลุ่มประเทศอาเซียนแล้ว ไทยมีความได้เปรียบเนื่องจากเป็นผู้ผลิตน้ำนมดิบมากที่สุดในภูมิภาค โดยมีการเลี้ยงโคนมกว่า 5 แสนตัว ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านไม่มีการเลี้ยงโคนมมากนัก แม้ประเทศเวียดนามจะมีการเติบโตด้านอุตสาหกรรมนมมากขึ้น แต่ปริมาณการเลี้ยงโคนมก็ยังอยู่ที่ 1 แสนกว่าตัวซึ่งต่างจากไทยมาก โดยขณะนี้อุตสาหกรรมนมเชิงพาณิชย์ของ อ.ส.ค.ได้ขยายตลาดไปในประเทศอาเซียน ได้แก่ ลาว และกัมพูชา มากว่า 2 ปีแล้ว โดยมียอดขายอยู่ที่ 200 ล้านบาทต่อปี และจะขยายการส่งออกสินค้านมโดยเน้นผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มยูเอชทีเป็นหลักไปในประเทศอาเซียนอื่นๆด้วย เช่น ประเทศเวียดนามซึ่งยังขาดแคลนนมเพื่อการบริโภคในประเทศอยู่มาก รวมทั้งประเทศจีนซึ่งผลิตภัณฑ์นมในประเทศไม่ค่อยได้รับความเชื่อถือในเชิงคุณภาพตั้งแต่มีปัญหาสารเมลามีนเจือปน โดยคาดว่าภายใน 5 ปีจะสามารถเพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์นมในตลาดอาเซียนได้เป็น 1 พันล้านบาทต่อปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในงานแถลงข่าว มีการมอบรางวัลประกวดภาพถ่ายในหัวข้อ ‘ We enjoy drinking school milk’ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากเด็กนักเรียนทั่วประเทศ โดยโรงเรียนที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ร.ร.บ้านเขากำแพง จ.สุพรรณบุรี รางวัลรองชนะเลิศอันดับ1ได้แก่ ร.ร.บ้านไร่ จ.สตูล และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ2 ได้แก่ ร.ร.บ้านกุดปลาดุก จ.อำนาจเจริญ