กอ.รมน.แถลงผลงาน: คดีมั่นคงแค่ 8% ไร้ร้องเรียน ปะทะกลุ่มติดอาวุธดับ 29
กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าแถลงผลงานในวาระก่อนสิ้นปีงบประมาณ 2555 เผยมีบุคคลเป้าหมายแสดงตน 729 ราย ประสานผ่านญาติให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม 1,579 ราย ลุยงานพัฒนา-สร้างอาชีพ "กลุ่มเสี่ยง" เพียบ ลุยจับยาเสพติด-น้ำมันเถื่อน ปฏิบัติการทางทหารวิสามัญฯกลุ่มติดอาวุธ 29 ราย ระบุคดีอาญาในพื้นที่รวมกว่าแสนคดี เป็นคดีความมั่นคงแค่ร้อยละ 8 อ้างไม่มีร้องเรียนละเมิดสิทธิมนุษยชนแล้ว แจงคดียกฟ้องเยอะแต่พบกระทำผิดซ้ำ จึงไม่ใช่ตัวชี้วัดใช้กฎหมายไม่เป็นธรรม
พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) และรองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน.แถลงที่ค่ายสิรินธร เมื่อวันอังคารที่ 25 ก.ย.2555 ถึงผลการปฏิบัติงานของหน่วย ประจำปี 2555 ในโอกาสก่อนสิ้นปีงบประมาณ 2555 ในวันที่ 30 ก.ย.นี้
การแถลงข่าวของ พ.อ.ปราโมทย์ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้แก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามกรอบยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงเพื่อรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ด้วยการน้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นยุทธศาสตร์หลัก และนำยุทธศาสตร์ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) โดยใช้นโยบาย "สานใจสู่สันติ" ตามแนวทาง "การเมืองนำการทหาร" มาใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ ทำให้สถานการณ์ในภาพรวมมีความก้าวหน้าในทางที่ดีขึ้นด้วยการบังคับใช้กฎหมายตามหลักนิติธรรม ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยธรรม ส่งผลให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นศรัทธาในอำนาจรัฐมากขึ้นตามลำดับ
2.เชิญชวนบุคคลเป้าหมายเข้าร่วมโครงการ "ประชาร่วมใจทำความดีเพื่อแผ่นดิน" มีผู้ที่แสดงตนเพื่อเข้าร่วมโครงการจำนวน 729 คน ประกอบด้วย
- บุคคลที่ไม่มีหมาย ฉฉ. (หมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ออกตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548) หรือหมาย ป.วิอาญา (ออกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา) จำนวน 656 คน
- บุคคลที่มีหมาย ฉฉ.จำนวน 64 คน
- บุคคลที่มีหมาย ป.วิอาญา จำนวน 9 คน
3.สร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดจนการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องตามวัฒนธรรมและประเพณีของท้องถิ่น โดยการอบรมเจ้าหน้าที่ก่อนลงไปปฏิบัติงาน และจัดทำคู่มือการปฏิบัติงานให้กับกำลังพลทุกนาย มีการจัดการเสวนาเพื่อรับฟังข้อคิดเห็นด้วยการระดมความคิดจากผู้แทนของทุกภาคส่วน
4.ปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตที่ดีขึ้นและช่องว่างทางสังคมลดน้อยลง มีการดำเนินโครงการเยาวชนทำดีมีอาชีพ มีผู้ผ่านการอบรมตามโครงการ 26,563 คน ปัจจุบันได้ดำเนินการจัดตั้งกลุ่มอาชีพแล้วจำนวน 682 กลุ่มอาชีพ และได้ขยายผลโดยจัดตั้งร้านสะดวกซื้อ "ทำดี มีอาชีพ" ประจำอำเภอ (จำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์ทำดี มีอาชีพ) จำนวน 37 อำเภอ พร้อมกับพัฒนาเข้าสู่วิสาหกิจชุมชน โดยการจัดตั้งโรงผลิตอิฐบล็อกจำนวน 10 โรงเรือน โรงสีข้าว จำนวน 10 โรงเรือน และโรงผลิตน้ำดื่ม จำนวน 10 โรงเรือน รวมเป็น 30 โรงเรือน เพื่อผลิตสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มเยาวชนส่งออกขายสู่ตลาดในพื้นที่ต่อไป
5.จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ฝึกอบรมราษฎรในการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน มีผู้ผ่านการอบรมแล้ว จำนวน 223,778 คน และสามารถนำไปขยายผลเป็น "ฟาร์มประจำตำบล" ได้ครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวน 410 ฟาร์ม
นอกจากนั้นยังมีโครงการสร้างงานและจ้างงานเร่งด่วน ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาการว่างงานและช่วยเหลือผู้ประกอบการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน โดยแบ่งเป็น 6 กลุ่มภารกิจ จำนวน 25,000 คน ประกอบด้วย
- กลุ่มภารกิจตามโครงการพระราชเสาวนีย์ 9,500 อัตรา ดำเนินการโดยสำนักงานราชเลขาธิการและกรมราชองครักษ์ ผลการดำเนินการ เกิดชุมชนเข้มแข็งที่สามารถดูแลตนเองในกรอบของ อรบ.(อาสาสมัครราษฎรรักษาหมู่บ้าน) อรม.(อาสาสมัครราษฎรรักษาเมือง) จำนวน 760 ชุมชน และประชาชนได้เข้าร่วมโครงการฟาร์มตัวอย่างมีรายได้จากฟาร์มและนำความรู้ที่ได้รับไปขยายผลในชุมชนจำนวน 4,600 ครัวเรือน
- กลุ่มภารกิจช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ 2,240 อัตรา โดย กอ.รมน.ดำเนินการจ้างครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบ จำนวน 2,240 คน ทำให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุข เกิดเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบที่ควรช่วยเหลือซึ่งกันและกันในระดับอำเภอและจังหวัด และจำนวน 290 คนได้ร่วมเป็นเครือข่ายยุติธรรมชุมชนเพื่อช่วยเหลือสังคมในด้านความเดือดร้อน ทั้งสองเครือข่ายสามารถแบ่งเบาภาระของรัฐในการดูแลเด็กกำพร้า ผู้ได้รับผลกระทบ และงานยุติธรรมชุมชน
- กลุ่มภารกิจเสริมสร้างสันติสุขในชุมชน 11,570 อัตรา วัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนภารกิจเชิงรับของเจ้าหน้าที่รัฐ ดำเนินการโดยคณะกรรมการหมู่บ้าน ขับเคลื่อนโดยหน่วยเฉพาะกิจของทหารและทหารพราน ตลอดจนส่วนราชการในพื้นที่ภายใต้การควบคุมดูแลของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ดำเนินการในพื้นที่ที่มีความพร้อมและให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐหมู่บ้านละ 10 คน มีประชาชนเข้าร่วมโครงการจำนวน 820 หมู่บ้าน มีเหตุร้ายเกิดขึ้นในหมู่บ้านเพียง 2 เหตุการณ์
- กลุ่มภารกิจฝึกทักษะอาชีพ 1,200 อัตรา ดำเนินการโดยสำนักงานจัดหางานจังหวัดและศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัด ภายใต้การกำกับดูแลของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า มีผู้เข้าร่วมโครงการที่จบการศึกษาระดับ ม.6 ปวช.ปวส.และปริญญาตรีในพื้นที่ได้มีงานทำและมีอาชีพที่มั่นคงในบริษัท จำนวน 842 คน ประกอบอาชีพอิสระ38 คน สงผลให้เยาวชนเห็นความสำคัญของการศึกษา มีสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 540 แห่ง
- กลุ่มภารกิจพิเศษตามโครงการทำดีมีอาชีพ 290 อัตรา ดำเนินการจัดจ้างเยาวชนที่จบหลักสูตรตามโครงการ "ทำดี มีอาชีพ" เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการรวมตัวของกลุ่มเยาวชนในพื้นที่ไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงและห่างไกลยาเสพติด ผลการดำเนินการสามารถจัดตั้งชมรม "เยาวชนทำดี มีอาชีพ" ระดับตำบล จำนวน 290 ชมรม และมีการรวมกลุ่มเพื่อจัดตั้งกลุ่มอาชีพต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม จำนวน 741 กลุ่มอาชีพ
- กลุ่มภารกิจสำรองตามความจำเป็นเร่งด่วน 200 อัตรา โดยสามารถขอใช้ ตามความจำเป็นเร่งด่วนผ่าน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า
6.การให้บริการทางการแพทย์ โดยศูนย์แพทย์ทหารบกจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ให้บริการทางการแพทย์ และบริการทันตกรรมไปแล้วกว่า 435,907 คน นอกจากนั้นยังมีโครงการแสงแห่งความหวัง ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบัน ด้วยการนำผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่อง "ต้อกระจกตา" เข้ารับการผ่าตัดภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ดำเนินการร่วมกันทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน มีผู้เข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1,000 คน
7.การดูแลชุมชนชาวพุทธ ได้เข้าไปดูแลและสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธเพื่อให้เกิดความมั่นใจในความปลอดภัยและไม่ละทิ้งถิ่นฐาน โดยได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจว่า ดินแดน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จ.ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา มีประชาชนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งผู้ที่นับถือศาสนาฮินดู พุทธ และอิสลามเป็นเวลาหลายร้อยปี
จากการตรวจสอบข้อมูลราษฎรไทยพุทธในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบันพบว่า มีราษฎรไทยพุทธในพื้นที่ต่างๆ ประกอบด้วย
- จ.ยะลา 61,838 คน ย้ายเข้า 824 คน ย้ายออก 4,351 คน
- จ.ปัตตานี 13,015 คน ย้ายเข้า 1,160 คน ย้อยออก 1,896 คน
- จ.นราธิวาส 50,829 คน ย้ายเข้า 2,077 คน ย้ายออก 2,101 คน
8.ยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแทรกซ้อน เพื่อให้ผู้ก่อเหตุรุนแรงไม่ได้รับการสนับสนุนเครื่องมือและปัจจัยที่จำเป็นในการก่อเหตุด้วยการดำเนินการใน 2 เรื่องหลัก ได้แก่ ปัญหายาเสพติด และน้ำมันเถื่อน มีผลการปฏิบัติที่สำคัญคือ
- โครงการญาลันนันบารู ทำการอบรมค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสร้างสมาชิกใหม่ จำนวน 22 รุ่น มีผู้เข้าอบรมจำนวน 869 คน รวมยอดสะสมตั้งแต่เริ่มโครงการถึงปัจจุบัน จำนวน 20,912 คน และมีชมรมญาลันนันบารูที่ได้จัดตั้งแล้ว 575 ชมรม
- โครงการมัสยิดสานใจป้องกันภัยยาเสพติด เป็นโครงการสร้างชุมชนเข้มแข็งด้วยพลังของศาสนาอิสลาม มีเป้าหมาย 2,000 มัสยิด ปัจจุบันมีมัสยิดเข้าร่วมโครงการแล้ว 670 มัสยิด ดำเนินการรับสมัครครัวเรือนสมาชิกได้แล้ว 43,689 ครัวเรือน รับรองเป็นครัวเรือนปลอดภัยได้แล้ว 16,902 ครัวเรือน และค้นพบผู้ค้า ผู้เสพ ผู้สงสัย โดยกระบวนการประชาคมจำนวน 5,510 คน
- โครงการวัดสานใจป้องกันภัยยาเสพติด มีวัดและชุมชนไทยพุทธร่วมโครงการ 39 แห่ง มีสมาชิก 996 ครัวเรือน รับรองเป็นครัวเรือนปลอดภัย 284 ครัวเรือน ค้นพบผู้ค้า ผู้เสพ ผู้สงสัย 6 คน
- โครงการญาลันนันบารูจูเนียร์ จัดอบรมเด็กก่อนวัยเสี่ยง เกณฑ์อายุ 10–14 ปี จำนวน 7 รุ่น มีเด็กเข้าอบรมจำนวน 254 คน
- โครงการญาลันนันบารูสัญจรในสถานศึกษา ดำเนินการได้ 28 โรงเรียน จำนวนนักเรียน 3,853 คน
- โครงการปอเนาะสานใจป้องกันภัยยาเสพติด ดำเนินการได้ 4 รุ่น มีปอเนาะเข้าร่วมโครงการ 22แห่ง นักเรียนเข้าร่วมโครงการ 170 คน
- โครงการกองทุนแม่ของแผ่นดิน มีเป้าหมายดำเนินการต่อหมู่บ้านและชุมชนที่ได้เงินพระราชทานกองทุนแม่ของแผ่นดิน จำนวน 419หมู่บ้าน/ชุมชน ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้จัดชุดวิทยากรเข้าดำเนินการได้แล้ว 371 หมู่บ้าน/ชุมชน ดำเนินการรับสมัครครัวเรือนสมาชิกกองทุนแม่ของแผ่นดินได้แล้ว 16,805 ครัวเรือน รับรองเป็นครัวเรือนปลอดภัยได้แล้ว 10,979 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 65.33 ของจำนวนครัวเรือนสมาชิก และค้นพบผู้ค้า ผู้เสพ ผู้สงสัยจากโครงการนี้แล้ว 2,798 คน
- จัดตั้งคณะทำงานพิเศษด้วยการบูรณาการกำลังร่วมหลายฝ่าย ประกอบด้วย ทหาร ตำรวจ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) กรมศุลกากร และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เข้าจัดการกับปัญหาภัยแทรกซ้อนซึ่งมีเครือข่ายสัมพันธ์เชื่อมโยงกับผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ โดยใช้กฎหมายพิเศษเข้าดำเนินการอย่างจริงจัง การดำเนินการต่อขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนในห้วงที่ผ่านมาสามารถตรวจยึดของกลางจำนวนกว่า 300,000 ลิตร
สำหรับสถิติเฉพาะในปีงบประมาณ 2555 (ต.ค.2554 – ก.ย.2555) สามารถจับกุมและตรวจยึดของกลาง ประกอบด้วย รถยต์จำนวน 114 คัน เรือ 4 ลำ สถานที่เก็บน้ำมัน จำนวน 16 แห่ง น้ำมันเชื้อเพลิงจำนวน 162,135 ลิตร และผู้กระทำความผิดจำนวน 132 ราย
การดำเนินการต่อขบวนการค้ายาเสพติดในห้วงที่ผ่านมา ได้จัดกำลังเข้าดำเนินการกดดัน ปราบปราม และสกัดกั้นยาเสพติดในพื้นที่จำนวน 151 ครั้ง ได้ตัวผู้ต้องหาจำนวน 212 คน ตรวจยึดของกลางยาบ้ากว่า 253,107 เม็ด พืชกระท่อมกว่า 2,500 กิโลกรัม ยาแก้ไอกว่า 33,000 ขวด และยาเสพติดประเภทอื่น ๆ อีกจำนวนมาก
นอกจากนี้ยังสามารถขยายเครือข่ายจากผลการจับกุมที่นำไปสู่การยึดทรัพย์ เครือข่ายค้ายาเสพติดในพื้นที่ ทั้งเงินสด รถยนต์ ทองคำ ที่ดิน และทรัพย์สินอื่นๆ อีกหลายรายการ รวมมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท การเข้าดำเนินการดังกล่าวพบหลักฐานสำคัญที่เชื่อถือได้ว่า เครือข่ายยาเสพติดที่ถูกจับกุมเป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงกับพ่อค้ายาเสพติดทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งเชื่อมโยงกับแกนนำผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่อย่างชัดเจน
9.ยุทธศาสตร์การดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อให้สถานการณ์ในพื้นที่ไม่ถูกยกระดับเข้าสู่เวทีสากล ด้วยการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรมตามหลักนิติธรรม ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน และให้การเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเคร่งครัด ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาไม่มีกรณีร้องเรียนการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเจ้าหน้าที่รัฐ
สำหรับสถิติคดีความมั่นคงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ตั้งแต่ปี 2547 จนถึงสิ้นเดือน ส.ค.2555 มีคดีอาญาเกิดขึ้นทั้งสิ้น 105,621 คดี เป็นคดีความมั่นคง จำนวน 8,639 คดี คิดเป็นร้อยละ 8.18 โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ไม่รู้ตัวผู้กระทำความผิด จำนวน 6,586 คดี
- รู้ตัวผู้กระทำความผิด จำนวน 2,053 คดี (จับได้ 1,459 คดี หลบหนี 594 คดี)
- คดีเข้าสู่ชั้นศาล พิจารณาพิพากษา จำนวน 474 คดี ลงโทษ 192 คดี คิดเป็นร้อยละ 40.50 ยกฟ้อง 282 คดี คิดเป็นร้อยละ 59.50
สาเหตุสำคัญของการยกฟ้องคดี เนื่องจากขาดพยานหลักฐาน สาเหตุคือ พยานกลับคำให้การ ไม่มาขึ้นศาล และที่ผ่านมาผู้ที่ถูกพิพากษายกฟ้องหลายรายได้ก่อเหตุซ้ำ เช่น กรณีสังหารหัวหน้าพรรคประชาธรรม (นายมุกตาร์ กีละ) เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2554 พบว่าหนึ่งในสองผู้ก่อเหตุซึ่งเสียชีวิต ศาลเพิ่งพิพากษายกฟ้องคดีฆ่าครูจูหลิง ปงกันมูล และยิงเจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จึงไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่า การยกฟ้องคือการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม
สำหรับการสร้างความเป็นธรรมในความรู้สึก ได้จัดตั้ง "คณะทำงานด้านความเป็นธรรม" เข้าไปพบปะเสริมสร้างความเข้าใจต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อกรณีเหตุการณ์สำคัญในห้วงที่ผ่านมา เช่น กรณีตากใบ กรือเซะ บ้านกาโสด ไอปาร์แย รวมทั้งกรณีล่าสุดที่ประชาชนเสียชีวิต 4 ราย และบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่งที่บ้านกาหยี ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี
นอกจากนั้นยังมีการประสานงานกับญาติผู้ที่ต้องการเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย โดยที่ผ่านมามีผู้เข้ามารายงานตัวแล้วจำนวน 1,519 คน การเตรียมการเพื่อรองรับการนำมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 (พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ) มาบังคับใช้ในพื้นที่ ตั้งแต่ 1 มี.ค.2554 ปัจจุบันมีผู้เข้าสู่กระบวนการแล้วจำนวน 2 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการอบรมตามหลักผู้นำการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะเวลา 6 เดือน
10.ยุทธศาสตร์การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ในมาตรการเชิงรุก มีการปฏิบัติการทางทหาร เป็นการดำเนินการต่อกองกำลังติดอาวุธ โดยมีการปะทะที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามสูญเสียจำนวน 29 คน รวมทั้งตรวจยึดอาวุธและยุทโธปกรณ์ ตลอดจนสิ่งอุปกรณ์ประกอบระเบิดหลายรายการ
นอกจากนั้นยังได้ตรวจพบฐานปฏิบัติการขนาดใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งพักพิง หลบซ่อนที่สำคัญได้ในหลายพื้นที่
มีการปรับเปลี่ยนทัศนคติผู้ที่ใช้ความรุนแรงด้วยการสร้างสภาวะที่เกื้อกูลต่อการแสวงหาทางออกจากความขัดแย้ง โดยสนับสนุนและส่งเสริมการเปิดพื้นที่สื่อสารเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่มีส่วนได้เสียโดยผ่านทางองค์กรภาคประชาสังคมที่มีอยู่แล้วในพื้นที่ ได้แก่ คณะกรรมการหมู่บ้าน สภาสันติสุขตำบล และองค์กรภาคประชาสังคมอื่น ๆ เพื่อแสวงหารูปแบบการกระจายอำนาจที่สนับสนุนให้ท้องถิ่นมีบทบาทและส่วนร่วมที่สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ และอยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ที่สำคัญได้จัดให้มีการพบปะพูดคุยและรับฟังปัญหาจากประชาชนผู้ที่เคยถูกเชิญตัว รวมทั้งผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบกรณีที่ถูกควบคุมตัว ถูกจับกุมคุมขัง แต่ต่อมาปรากฏหลักฐานว่ามิได้เป็นผู้กระทำความผิด ดำเนินการในพื้นที่ จ.ปัตตานี ประมาณ 400 คน อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส 191 คน จ.ยะลา ประมาณ 200 คน ทำให้เกิดความเข้าใจ ลดความหวาดระแวง และป้องกันการขยายตัวของความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชน และประชาชนกับประชาชนเพิ่มขึ้น
ส่วนมาตรการเชิงรับ จัดให้มีเขตรักษาความปลอดภัย (เซฟตี้ โซน) มาใช้ใน 7 พื้นที่เศรษฐกิจ ในเมืองสำคัญ (อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา อ.เมืองปัตตานี อ.เมืองยะลา อ.เบตง จ.ยะลา อ.เมืองนราธิวาส อ.ตากใบ และ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส) กับอีก 6 พื้นที่ที่มีเหตุการณ์และเหตุการณ์รุนแรงบ่อยครั้ง (อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา อ.ยะรัง จ.ปัตตานี อ.ธารโต จ.ยะลา อ.รือเสาะ อ.ระแงะ และบาเจาะ จ.นราธิวาส) ซึ่งจากการปฏิบัติทำให้สถานการณ์และเหตุการณ์รุนแรงลดลงเป็นอย่างมาก พร้อมทั้งได้ปรับปรุงด่านตรวจ/จุดตรวจถาวร ตามเส้นทางหลักเพื่อให้การจำกัดเสรีในการเคลื่อนไหวของผู้ก่อเหตุรุนแรงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จำนวน 62 จุด มีจำนวนหมู่บ้านที่ไม่เกิดเหตุรุนแรงเพิ่มขึ้น จาก 1,355 หมู่บ้าน เป็น 1,442 หมู่บ้าน จากหมู่บ้านทั้งหมดในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้และ 4 อำเภอของ จ.สงขลาจำนวน 1,970 หมู่บ้าน
การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับฝ่ายพลเรือนและกำลังประชาชน โดยจัดตั้ง ชคต.(ชุดคุ้มครองตำบล) และ ชคบ. (ชุดคุ้มครองหมู่บ้าน) พร้อมจัดตั้งเครือข่ายภาคประชาชนเฝ้าระวัง (วิทยุเครื่องแดง) จำนวน 13,022 คน สมาชิกให้ความร่วมมือในการแจ้งเหตุต้องสงสัยต่างๆ ทั้งแจ้งวัตถุต้องสงสัย จำนวน 300 ครั้ง เป็นวัตถุระเบิด 48 ครั้ง แจ้งบุคคลต้องสงสัย จำนวน 450 ครั้ง เป็นผู้ต้องหาหรือบุคคลที่เฝ้าระวัง 35 ครั้ง
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ : พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ ขณะแถลงข่าว (ภาพโดย อะหมัด รามันห์สิริวงศ์)