เช็ค7แสนหลักฐานเด็ดมัด"สรยุทธ" คดียักยอกเงินโฆษณา อสมท.138ล้าน
หลักฐานสำคัญ ที่ ป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์ 7:0 ฟัน "สรยุทธ-บ.ไร่ส้ม" ในคดีเงินโฆษณา 138 ล้านบาท ก็คือ"เช็ค 7 แสน" โอนที่เข้ากระเป๋า เจ้าหน้าที่ อสมท.รายหนึ่ง?
เมื่อวันที่ 21 ก.ย. เวลา 15.45 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติป.ป.ช.แถลงผลการประชุมป.ป.ช.ชุดใหญ่ว่า ที่ประชุม ป.ป.ช.ชุดใหญ่ได้พิจารณาเรื่องกล่าวหานางพิชชาภา เอี่ยมสอาด เจ้าหน้าที่ธุรการระดับ 5 บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หรือ บมจ.อสมทกับพวก กรณีช่วยเหลือ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด โฆษณาเกินกำหนดเวลาในสัญญาเป็นเงิน 138,790,000 บาท โดยมีการแก้ไขใบคิวช่วยเหลือบริษัทไร่ส้มฯ ที่มีนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรชื่อดัง น.ส.มณฑา ธีระเดช และบริษัทไร่ส้มฯ ทำให้ บมจ.อสมทได้รับความเสียหาย ตามที่อนุกรรมการไต่สวนชุดที่มีนายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช.เป็นประธาน เสนอ
นายกล้านรงค์ กล่าวว่า จากการไต่สวนข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เดือน มิ.ย.2546 บมจ.อสมท.ทำสัญญาว่าจ้างนายสรยุทธเป็นพิธีกรแบบรายวัน ในปี 2547 นายสรยุทธตั้งบริษัทไร่ส้มฯ ขึ้นมาผลิตรายการ “คุยคุ้ยข่าว” กับบมจ.อสมท โดยทำสัญญา 2 ช่วง ช่วงแรก ออกอากาศทุกวันเสาร์-วันอาทิตย์ โดยมีการตกลงแบ่งเวลาโฆษณาให้กับ บริษัทไร่ส้มฯ ครั้งละ 5 นาที ถ้ามีโฆษณาเกินต้องชำระค่าโฆษณาเกินให้ บมจ.อสมท ในอัตรานาทีละ 200,000 บาท ช่วงที่สอง ออกอากาศทุกวันจันทร์-วันศุกร์ โดยมีการตกลงแบ่งเวลาโฆษณาให้กับ บริษัทไร่ส้มฯ ครั้งละ 2.30 นาที ถ้ามีโฆษณาเกินต้องชำระค่าโฆษณาเกินให้ บมจ.อสมท ในอัตรานาทีละ 240,000 บาท
นายกล้านรงค์ กล่าวว่า จากการไต่สวนปรากฎว่า นางพิชชาภาซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบแต่ผู้เดียวในการจัดทำคิวโฆษณารวม ได้ให้ความช่วยเหลือ บริษัทไร่ส้มฯ โดยไม่รายงานการโฆษณาเกินของ บริษัทไร่ส้มฯ ตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ.2548 ถึงวันที่ 30 มิ.ย.2549
“ในการนี้ จากการไต่สวนยังพบว่า นายสรยุทธได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คของธนาคารธนชาติ สาขาพระรามสี่จ่ายเงินให้กับนางพิชชาภา โดยมีการทำเอกสารหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้รวม 6 ครั้ง เป็นเงิน 739,770.50 บาท เพื่อตอบแทนที่นางพิชชาภามิได้รายงานการโฆษณาเกินเวลาของบริษัทไร่ส้ม” นายกล้านรงค์กล่าว
นายกล้านรงค์ กล่าวว่า ต่อมาในเดือน ก.ค.2549 ผู้บริหาร บมจ.อสมทเรียกนางพิชชาภามาสอบ ซึ่งได้ยอมรับว่ามีการใช้น้ำยาลบคำผิดเฉพาะคิวโฆษณาเกินเวลาในส่วนของบริษัทไร่ส้มฯ เพื่อปกปิดความผิดที่ได้กระทำขึ้นตามคำแนะนำของนายสรยุทธและ น.ส.มณฑา แม้หลังจากนั้นบริษัทไร่ส้มฯได้มีการชำระเงินค่าโฆษณา บมจ.อสมท ในวันที่ 31 ส.ค.และวันที่ 15 ก.ย.ในปี 2549 เป็นเงิน 103,953,710 บาท โดยบริษัทไร่ส้มฯ ขอหักส่วนลด 30% จากยอดทั้งหมด 138,790,000 บาท แต่ทาง บมจ.ไม่ยิยยอม เพราะบริษัทไร่ส้มไม่ปฏิบัติตามสัญญาที่ทำกันไว้ จึงขอคิดดอกเบี้ยในอัตรา 7.5% ต่อปี พร้อมภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมเป็นเงินที่บริษัทไร่ส้มฯ ต้องจ่ายต่อ บมจ.อสมท 152,969,497.67 บาท
นายกล้านรงค์ กล่าวว่า ต่อมาในปี 2551 บริษัทไร่ส้มฯ ได้ฟ้องต่อศาลปกครอง ขอเรียกเงินคืนจาก บมจ.อสมท โดยอ้างว่า สัญญาระหว่าง บมจ.อสมทกับบริษัทไร่ส้มฯ มีการแบ่งค่าโฆษณากันคนละครึ่ง แล้วทางบมจ.อสมทก็โฆษณาเกินเวลาเช่นกัน เรื่องนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนของศาลปกครอง
นายกล้านรงค์ กล่าวว่า ที่ประชุมป.ป.ช.ได้พิจารณาข้อเท็จจริงแล้วมีมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 ว่า นางพิชชาภา (หรือนางชนาภา บุญโต) มีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรงและมีมูลความผิดทางอาญา ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6, 8 และ 11 ,น.ส.อัญญา หรือสาริศา อู่ไทย ซึ่งเป็นหัวหน้างานและเป็นผู้บังคับบัญชาในฝ่ายสนับสนุนและบริการลูกค้าของนางพิชชาภา มีมูลความผิดทางวินัย ฐานประมาทเลินเล่อ ส่วนทางอาญาขาดเจตนา ให้ยกคำร้อง
“ส่วนนายสรยุทธและ น.ส.มณฑา ซึ่งได้ใช้ให้นางพิชชาภา ไม่ต้องรายงานการโฆษณาเกินเวลาที่กำหนดในสัญญาให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และบริษัทไร่ส้มฯ ในฐานะนิติบุคคล จึงมีมูลความผิดฐานสนับสนุนพนักงานกระทำความผิด ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6,8 และ 11 และ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86” นายกล้านรงค์กล่าว
หลังจากนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะส่งสำนวนพร้อมเอกสารประกอบให้อัยการสูงสุดพิจารณาคดีเพื่อฟ้องต่อศาลในเขตอำนาจต่อไป