เอฟทีเอว็อทช์ แฉ กรมเจรจาฯทำกรอบเอฟทีเอไทย-ยุโร เอื้ออุตส.เกษตร-บรรษัทยาข้ามชาติ
เอฟทีเอ ว็อทช์ แฉ อุตสาหกรรมส่งออกเกษตร จับมือบรรษัทยาข้ามชาติ หนุนกรมเจรจาฯ ยอมขยายสิทธิผูกขาดยาตามอียู นักวิชาการชำแหละพรีม่าร่อนจดหมายบิดเบือน
วันที่ 18 ก.ย.55 ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัยสังคม ร่วมกับศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาฯ และแผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระวังระบบยา (กพย.) จัดอภิปราย “กระบวนการพัฒนากฎหมายนโยบายสาธารณะ ปัญหา อุปสรรค ความท้าทาย กรณีศึกษาการการจัดทำ FTA Thai-EU ต่อการเข้าถึงยา” นายจักรชัย โฉมทองดี โครงการศึกษาและปฏิบัติการงานพัฒนา สถาบันวิจัยสังคม จุฬาฯ ระบุว่าการเจรจาการค้าระหว่างประเทศเป็นนโยบายสาธารณะที่สำคัญควรมี 3 องค์ประกอบ คือ ปัญญา ธรรมาภิบาล ปราศจากผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม
“กรมเจรจาฯ มีจุดยืนสอดคล้องผลประโยชน์บริษัทยาข้ามชาติ และผู้ส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่ ร่างกรอบของกรมเจรจาฯ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ได้ใช้ความรู้และงานวิจัย แต่พยายามเร่งให้เกิดการเจรจาเร็วที่สุดอย่างไม่มีเหตุผล ไม่ยอมรอการศึกษาผลกระทบด้านสุขภาพที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กำลังดำเนินการอยู่”
ดร.ภก.สุชาติ จองประเสริฐ นักวิชาการด้านยา กล่าวว่าที่ผ่านมามีนโยบายสาธารณะดีๆจำนวนมากที่ออกมาไม่ได้ เพราะมีกระบวนการให้ข้อมูลที่บิดเบือนกับสังคม จากกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์หรือไม่สามารถกอบโกยประโยชน์ได้เต็มที่
“ตามที่สมาคมพรีม่าส่งจดหมายกล่าวหาการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ แล้วสำเนาจดหมายนี้ไปยัง 17 หน่วยงานรัฐและเอกชน จะมีผลเมื่อส่งไปยังองค์กรที่ไม่มีความรู้ ทำให้ชะลอหรือออกนโยบายสนับสนุนบรรษัทยาข้ามชาติ พรีม่ามีสิทธิให้ความเห็นแต่ไม่ควรโกหก”
ดร.สุชาติ กล่าวว่าสาระในจดหมายที่ให้ข้อมูลไม่ครบ อาทิ ในความตกลงทริปส์ไม่มีการชดเชยอายุสิทธิบัตร แม้มีการให้ในบางประเทศไม่ใช่สากล, การทดสอบว่ายามีความปลอดภัยเป็นองค์ความรู้สาธารณะไม่มีสิทธิผูกขาด, หากยอมให้มีการผูกขาด ยาชื่อสามัญจะไม่สามารถขึ้นทะเบียนได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นการประกาศบังคับใช้สิทธิ (ซีแอล) จะไม่สามารถปฏิบัติได้จริง, ข้ออ้างที่ว่าให้บริษัทยาชื่อสามัญลงทุนวิจัยเป็นเรื่องโกหก เพราะใครจะให้ทำวิจัยที่รู้คำตอบแล้ว
และมาตรการ ณ จุดผ่านแดน ให้ตรวจ จับ ยึด อายัด ลิขสิทธิกับเครื่องหมายการค้าเพราะเห็นด้วยตา แต่ถ้าทำเอฟทีเอจะต้องเป็นทุกประเภทที่จะละเมิดทรัพยสินทางปัญญาด้วย ซึ่งทุกวันนี้แม้แต่ อย.ยังไม่สามารถฟันธงการละเมิดสิทธิบัตรได้ ต้องส่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ การปล่อยให้มีการยึดจับยาละเมิดสิทธิบัตร ณ จุดผ่านแดน จะทำให้เกิดเหตุการณ์ดังเช่น ยาชื่อสามัญช่วยชีวิตของอินเดียถูกยึดในสหภาพยุโรปถึง 18 ครั้ง ซึ่งล่าสุด สหภาพยุโรปยอมรับแล้วว่าการกระทำนี้ทำไม่ได้ นอกจากนี้ข้ออ้างเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคจากยาปลอม ยาด้อยคุณภาพนั้น เรื่องทรัพย์สินทางปัญญาไม่ใช่เรื่องยาปลอม ยาด้อยคุณภาพก็มีทั้งยาแบรนด์เนมและยาชื่อสามัญ”
“จุดยืนการไม่รับข้อตกลงที่เกินไปกว่าทริปส์ สอดคล้องกับสถาบันวิจัยชั้นนำในประเทศนี้ทั้งหมด แต่คงไม่ถูกใจบริษัทยาข้ามชาติ พวกนี้คือปัญหา อุปสรรค ความท้าทาย ที่ผู้กำหนดนโยบายต้องหนักแน่น”
รศ.ดร.ภญ.นุศราพร เกษสมบูรณ์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่าขณะนี้การทำรายงานผลกระทบด้านสุขภาพจากเอฟทีเอไทย-อียู ได้คัดเลือกเนื้อหา 4 ประเด็น คือการออกประกาศนียบัตรเพิ่มเติมการคุ้มครองเพิ่มเติม, การผูกขาดข้อมูลการทดสอบยา, การปฏิบัติตามข้อกำหนดในสนธิสัญญาที่อียูบังคับ และการใช้มาตรการ ณ จุดชายแดน รวมถึงประเมินมาตรการบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และทางทีมวิจัยจะทำหนังสือชี้แจงไปทุกหน่วยงานที่พรีม่าได้ทำหนังสือให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง .
ที่มาภาพ : http://www.consumersongkhla.org/upload/pics/cp_n2_18042012_01.gif&imgrefurl