หัวใจช้ำ “เจะรอฮานี ยูโซ๊ะ” เมื่อสามีที่เป็นพยานให้รัฐหายตัวปริศนา
นาซือเราะ เจะฮะ
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
บ้านเลขที่ 46/5 หมู่ 4 บ้านบือแจง ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส กลายเป็นจุดหมายปลายทางของเจ้าหน้าที่รัฐ องค์กรภาคประชาสังคม และสื่อมวลชนที่เกาะติดสถานการณ์ไฟใต้ หลังจากที่ อับดุลเลาะห์ อาบูคารี เด็กหนุ่มวัย 25 ปีหายตัวไปจากละแวกบ้านหลังนี้เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา
การหายตัวไปอย่างแทบจะไร้ร่องรอยของ อับดุลเลาะห์ กลายเป็นที่สนใจของสังคม เพราะเขาคือพยานปากสำคัญในคดีซ้อมทรมานลูกความของ นายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม เพื่อให้รับสารภาพว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปล้นอาวุธปืนจำนวน 413 กระบอกจากกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (ค่ายปิเหล็ง) อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2547
คดีนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับเป็นคดีพิเศษ และได้สรุปสำนวนการสอบสวนส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไต่สวนเอาผิดข้าราชการตำรวจรวม 10 นาย โดยเชื่อกันว่าการหายตัวอย่างปริศนาของทนายสมชายในเวลาต่อมา น่าจะเป็นผลจากการทำคดีดังกล่าว
บ้านเลขที่ 46/5 คือบ้านภรรยาของอับดุลเลาะห์...น.ส.เจะรอฮานี ยูโซ๊ะ วัย 24 ปี เธออาศัยอยู่กับมารดาและลูกน้อยอีก 2 คน คือ ด.ญ.อาซูรา อาบูคารี อายุ 7 ขวบ กับ ด.ช.อัยดิลอัฎฮา อาบูคารี อายุ 6 ขวบ
ชีวิตครอบครัวของ อับดุลเลาะห์ น่าจะมีความสุขไม่น้อยกับภรรยาคู่ชีวิตวัยไล่เลี่ยกัน โดยมีลูกสาวกับลูกชายอย่างละ 1 คนเป็นดั่งแก้วตาดวงใจ...หากเขาไม่ถูกจับและตกเป็นพยานคดีสำคัญระดับประเทศที่ต้องอยู่ภายใต้มาตรการคุ้มครองพยานของดีเอสไอ มาเป็นเวลาถึง 5 ปีเต็ม
การมุ่งหน้าไปเยือนบ้านของ เจะรอฮานี ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะอยู่ห่างจากตัวอำเภอเพียงแค่ 18 กิโลเมตร แต่ก็ต้องใช้เวลานานนับชั่วโมง เพราะบ้านของเธออยู่ลึกเข้าไปในพื้นที่ป่าเขาซึ่งเต็มไปด้วยภยันตรายหากมองด้วยสายตาของคนนอกพื้นที่
หนำซ้ำเมื่อเข้าไปถึงยังพบว่าบ้านหลังดังกล่าวถูกปิดตาย สอบถามจากคนข้างบ้านจึงทราบว่า เจะรอฮานี หอบลูกไปอาศัยอยู่กับน้าสาวที่บ้านบาโงดุดง หมู่ 6 ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านบือแจงไปอีกราว 20 กิโลเมตรเสียแล้ว อันเนื่องมาจากความเครียดที่สามีหายตัวไป
แต่ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จมักอยู่แถวๆ นั้น ในที่สุดเราจึงได้พบกับ เจะรอฮานี แม้จะต้องใช้เวลาเดินทางต่ออีกร่วมชั่วโมงก็ตาม...
"สามีของฉันกลับมาบ้านช่วงเทศกาลรายอที่ผ่านมา จำได้ว่าเป็นวันที่ 23 พ.ย. เราไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด และมักจะออกไปกินน้ำชาที่ร้านในหมู่บ้านแทบทุกคืน” เจะรอฮานี เริ่มเล่าเมื่อเราถามถึงต้นสายปลายเหตุการหายตัวไปของสามีเธอ
“กระทั่งมาถึงคืนเกิดเหตุ ประมาณทุ่มกว่า หลังจากที่แฟนละหมาดตอนหัวค่ำเสร็จก็ออกไปร้านน้ำชาซึ่งอยู่ห่างจากบ้านแค่ 150 เมตรเท่านั้น จำได้ว่าเขาใส่เสื้อเชิ้ตสีม่วง และนุ่งผ้าโสร่ง ขับรถฮอนด้าเวฟ สีดำ (รถจักรยานยนต์) ป้ายทะเบียน กคข 881 นราธิวาส ออกไปพร้อมกับโทรศัพท์มือถือ”
“นอกจากโทรศัพท์ แฟนไม่ได้เอาอะไรไปเลยแม้แต่กระเป๋าเงิน จากนั้นประมาณ 2 ทุ่มกว่าก็ได้ยินเสียงรถของแฟนขับผ่านหน้าบ้าน แล้วได้ยินเสียงบีบแตร 3 ครั้ง ตามด้วยเสียงดังคล้ายเสียงปืน ตอนนั้นก็ไม่แน่ใจว่าเสียงนั้นมาจากทางด้านไหนเพราะเป็นตอนกลางคืน ก็เลยเอาโทรศัพท์ของตัวเองโทร.หาแฟน เบอร์แรกไม่ติด กดอีกเบอร์หนึ่งก็ไม่ติดอีก ตอนนั้นฉันก็เริ่มกระวนกระวายแล้ว”
เจะรอฮานี เล่าว่า เธอรอสามีตลอดคืน แต่เขาก็ไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย...
“ฉันจะนอนก็นอนไม่หลับ เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง แฟนก็ยังไม่กลับมา พยายามกดโทรศัพท์โทร.หาก็ไม่ติด ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร โดยปกติเวลาเขาออกไปข้างนอกตอนกลางคืน มักจะกลับบ้านราวๆ 3 ทุ่ม ไม่เกิน 4 ทุ่มทุกครั้ง แต่คืนนั้นนั่งกดโทรศัพท์ตลอดทั้งคืนก็ติดต่อไม่ได้ และเขาก็ไม่กลับมาอีกเลย”
จากกลางคืนถึงรุ่งเช้า เจะรอฮานี ตัดสินใจไปบอกผู้ใหญ่บ้าน และผู้ใหญ่บ้านก็ประสานกับฝ่ายทหารในพื้นที่เพื่อให้รับทราบเรื่องที่เกิดขึ้น และช่วยกันออกค้นหา
“กระทั่งบ่าย ผู้ใหญ่บ้านโทร.กลับมาบอกว่า ทหารแจ้งว่าเจอรถลักษณะคล้ายกับรถที่แฟนขับออกจากบ้าน จึงเอาไปไว้ที่ฐานของทหาร ฉันกับผู้ใหญ่บ้านก็ตามไปดู ปรากฏว่าเป็นรถของแฟนจริงๆ ตรวจดูรถก็ไม่พบร่องรอยขีดข่วนหรือเสียหายอะไร จึงไปแจ้งความไว้ที่ สภ.ระแงะ แล้วก็รอฟังข่าวจนกระทั่งวันนี้”
เจะรอฮานี เผยความรู้สึกว่า ตั้งแต่เกิดเรื่อง เธอเครียดจนไม่สามารถอยู่ที่บ้านต่อไปได้ เพราะตั้งแต่สามีต้องไปเป็นพยาน ก็อยู่กับแม่และลูกๆ แค่ 4 คนมาตลอด
“เวลามีเรื่องอะไรฉันก็จะคุยกับกับแม่ ยิ่งคุยก็ยิ่งเครียด จึงตัดสินใจย้ายมาอยู่บ้านน้า เพราะมีญาติอยู่รวมกันอีกหลายคน บางทีก็ช่วยกันออกความเห็นบ้าง หรือบางครั้งก็คุยกันเรื่องอื่นบ้าง ทำให้คลายเครียดไปได้พอสมควร ไม่ต้องคุยแต่เรื่องนี้เรื่องเดียว”
เธอบอกอีกว่า แม้ที่ผ่านมาสามีต้องไปอยู่กรุงเทพฯ (ภายใต้มาตรการคุ้มครองพยาน) นานหลายปี แต่ก็ยังติดต่อกันได้ จึงไม่รู้สึกเครียดเหมือนขณะนี้
“ตั้งแต่แฟนขึ้นกรุงเทพฯ ฉันก็อยู่ที่บ้านบือแจงมาตลอด เราโทรศัพท์คุยกันทุกวัน รู้ว่าเขาสบายดีเราก็สบายใจ แต่นี่หายไปไหนไม่รู้ เมื่อก่อนตอนเขาจะกลับบ้าน เขาจะโอนเงินมาให้บ้าง กลับมาก็จะมาอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์แล้วก็ไป”
การได้กลับบ้านนานๆ ครั้ง ทำให้ อับดุลเลาะห์ ทุ่มเทเวลาทุกนาทีให้กับลูกๆ และภรรยา เมื่อเขาหายตัวไปอย่างลึกลับ จึงทำให้ เจะรอฮานี รู้สึกห่วงหายิ่งกว่าเดิม
“เมื่อก่อนตอนหัวค่ำ ทุกคนจะอยู่กันพร้อมหน้า นั่งกินข้าวด้วยกัน แต่วันนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว เวลานึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ก็จะร้องไห้ รู้สึกแย่มากๆ เลย บางครั้งลูกมาขอเงิน จะบอกลูกว่าแม่ไม่มีเงินนะ ลูกก็จะพูดมาเองเลยว่าต้องรอให้พ่อโอนเงินมาใช่ไหม ฟังแล้วจะร้องไห้ แต่ต้องพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ลูกเห็น”
“ฉันได้แต่บอกลูกว่า พ่อไม่อยู่แล้ว พ่อไปไหนไม่รู้ ลูกก็จะพูดต่อว่า ทำไมไม่ไปหา เขาเอาพ่อไปในป่าทำไม ลูกจะคิดว่าคนร้ายเอาพ่อเข้าไปในป่า เพราะตอนที่ไปเอารถ เราก็ไปด้วยกันตลอด เขาก็รับรู้ตลอด” เจะรอฮานี กล่าวเสียงเครือ
ด้าน มามูเนาะ สามาแอ หญิงชราวัย 66 ปี แม่ของ เจะรอฮานี ซึ่งเป็นแม่ยายของอับดุลเลาะห์ บอกว่า ตั้งแต่ลูกสาวแต่งงานอยู่กินกับอับดุลเลาะห์ นางก็อยู่ด้วยที่บ้านบือแจงมาตลอด กระทั่งอับดุลเลาะห์ต้องขึ้นกรุงเทพฯ นางก็ยังอยู่เป็นเพื่อนลูกสาว
“เราก็อยู่กันมา รายได้ก็มีแค่จากการกรีดยางวันละ 200 บาท กับที่อับดุลเลาะห์โอนมาให้บ้างเท่านั้น ตอนที่แฟนเขาไม่อยู่ ลูกสาวก็ไม่ค่อยมีกะใจไปกรีดยาง ยิ่งแฟนเขาหายตัวไปก็ยิ่งเครียด จนต้องย้ายมาอยู่บ้านที่นี่ ก็คิดว่าจะอยู่จนกว่าลูกสาวจะทำใจได้ค่อยกลับไปที่บ้านบือแจง”
หญิงชราบอกว่า สิ่งเดียวที่คาดหวังในวันนี้ คืออยากให้เจ้าหน้าที่ตามหาลูกเขยให้ได้โดยเร็วที่สุด
“อยากให้เจ้าหน้าที่ช่วยกันตามหาอับดุลเลาะห์ให้เจอ สงสารลูกและหลานๆ ที่ต้องขาดเรียน เพราะตั้งแต่พ่อเขาหายตัวไป ลูกไม่ได้ไปโรงเรียนเลย” หญิงชรา กล่าว
ขณะที่ พ.ต.ท.ชวาลย์ วงศ์รอด รองผู้กำกับการ สภ.ระแงะ กล่าวถึงความคืบหน้าของคดีว่า เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองซึ่งเป็นปลัดอำเภอ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่คดีพิเศษ (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) ได้ร่วมกันสอบถามข้อมูลของนายอับดุลเลาะห์จาก น.ส.เจะรอฮานี เท่าที่ทราบคือ นายอับดุลเลาะห์ เรียนจนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนบ้านโคกศิลา ต.กะลูวอเหนือ อ.เมือง จ.นราธิวาส และไม่ได้ศึกษาต่อ จากนั้นประมาณปี 2547 ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวในข้อหาปล้นปืนจากกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เจาะไอร้อง แต่ภายหลังศาลยกฟ้อง และดีเอสไอได้กันตัวไว้เป็นพยานในอีกคดีหนึ่ง
“ที่ผ่านมาผมแทบไม่รู้เลยว่านายอับดุลเลาะห์มีภรรยาอยู่ที่บ้านบือแจง และยังกลับบ้านเป็นระยะ ก็มารู้วันที่ภรรยาของเขามาแจ้งความ หลังจากนี้ก็จะพยายามติดตามค้นหาให้เจอตัวโดยเร็วที่สุด” พ.ต.ท.ชวาลย์ กล่าว
นับเป็นอีกหนึ่งวิบากกรรมของประชาชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่พวกเขาจำต้องเผชิญ...
-------------------------------------------------------
อ่านประกอบ :
รมว.ยุติธรรม สั่งสอบพยานปากสำคัญคดีซ้อมผู้ต้องหาปล้นปืนหายตัวลึกลับ
1 ปีรัฐบาล..."อังคณา"จี้รัฐเคลียร์พยานคดีใต้หายตัวลึกลับ ทหารรุดเยี่ยมครอบครัว