1 ปีรัฐบาล...”อังคณา”จี้รัฐเคลียร์พยานคดีใต้หายตัวลึกลับ ทหารรุดเยี่ยมครอบครัว
ทีมข่าวอิศรา
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
กรณีการหายตัวไปของ นายอับดุลเลาะห์ อาบูคารี พยานปากสำคัญในคดีซ้อมทรมานลูกความของ นายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม หลังเดินทางกลับบ้านที่ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ถูกร้องเรียนถึงผู้นำรัฐบาลแล้ว
นายอับดุลเลาะห์ เป็นหนึ่งในพยานปากสำคัญในคดีซ้อมทรมานลูกความของ นายสมชาย เพื่อให้รับสารภาพว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปล้นอาวุธปืนจำนวน 413 กระบอกจากกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (ค่ายปิเหล็ง) อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2547 ซึ่งคดีนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับเป็นคดีพิเศษ และได้สรุปสำนวนการสอบสวนส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไต่สวนเอาผิดข้าราชการตำรวจรวม 10 นาย โดยเชื่อกันว่าการหายตัวอย่างปริศนาของทนายสมชายในเวลาต่อมา น่าจะเป็นผลจากการทำคดีดังกล่าว
ในวาระที่รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บริหารงานครบ 1 ปี นางอังคณา นีละไพจิตร ประธานคณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพ ภรรยาของทนายสมชาย ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เรียกร้องให้เร่งคลี่คลายคดีการหายตัวไปของทนายสมชาย และนายอับดุลเลาะห์ ดังนี้
1. ขอให้เร่งรัดในการดำเนินการสืบสวนสอบสวน เนื่องจากพบว่าจนถึงปัจจุบัน คดีการสูญหายของนายสมชาย ภายใต้การกำดูแลของกรมสอบสวนคดีพิเศษไม่มีความก้าวหน้า ตลอดระยะเวลา 4 ปีเศษที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้เข้ามารับผิดชอบคดีนี้ ได้มีความพยายามเพียงการหาหลักฐานในแม่น้ำแม่กลอง จ.ราชบุรี หลายครั้ง จนปัจจุบันได้มีการพบถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร ซึ่งเชื่อว่าถูกใช้ในการทำลายศพนายสมชาย จำนวน 4 ถัง และเศษกระดูกของมนุษย์จำนวนหนึ่ง ซึ่งเมื่อตรวจสอบแล้วทั้งหมดไม่พบว่ามีสารพันธุกรรมตรงกับนายสมชาย
2. การให้ความคุ้มครองพยานอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการสูญหายของนายสมชาย มีความเกี่ยวพันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงในการทรมานผู้ถูกควบคุมตัว กรณีปล้นปืนเมื่อวันที่ 4 ม.ค.2547 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนของ ป.ป.ช. ด้วยความล้าช้าของกระบวนการยุติธรรม รวมถึงความไม่มีประสิทธิภาพในการคุ้มครองพยาน ทำให้พยานและครอบครัวต่างได้รับการคุกคาม และไม่สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ
จนปรากฏหนึ่งในพยานคือ นายอับดุลเลาะห์ อาบูคารี ซึ่งรอที่จะเป็นพยานเบิกความในศาลอยู่หลายปี ภายใต้ความคุ้มครองพยานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้เดินทางกลับภูมิลำเนาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในโอกาสวันสำคัญทางศาสนา เมื่อปลายเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ต่อมาพบมีข่าวการสูญหายของนายอับดุลเลาะห์เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ขณะนี้เป็นเวลาเกือบ 2 สัปดาห์ ซึ่งหากการสูญหายของนายอับดุลเลาะห์ เป็นการถูกบังคับให้สูญหายโดยไม่สมัครใจแล้ว ย่อมจะส่งผลกระทบต่อพยานในคดีนี้และคดีอื่นๆ ในความมั่นใจในความปลอดภัย และความเชื่อมั่นในการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม จึงขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้น และสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้โดยเร่งด่วนพร้อมทั้งเปิดเผยข้อเท็จจิงแก่สาธารณะทราบ
3. ขอให้มีการพิจารณาแก้กฎหมายให้การบังคับสูญหายโดยไม่สมัครใจเป็นอาชญากรรม มีโทษตามกฎหมาย และขอให้รัฐบาลลงนามและให้สัตยาบันในอนุสัญญาต่อต้านการบังคับให้บุคคลสูญหายโดยไม่สมัครใจขององค์การสหประชาชาติ (UN Convention Against Enforced and Involuntary Disappearances) เพื่อให้หลักประกันในการคุ้มครองประชาชนไทยจากการถูกบังคับให้สูญหายโดยเจ้าหน้าที่รัฐ และเพื่อให้ครอบครัวผู้ถูกบังคับให้สูญหายซึ่งเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐสามารถเข้าถึงความยุติธรรมได้
ก่อนหน้านี้ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ออกแถลงการณ์หัวข้อ “กรณีการหายไปของนายอับดุลเลาะห์ อาบูคารี ส่งผลต่อคดีสำคัญ เรียกร้องความรับผิดชอบต่อชีวิตความปลอดภัยพยานทั้งหมด”
แถลงการณ์ระบุคำสัมภาษณ์ของ นายสมชาย หอมลออ ทนายความ และประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ว่า แม้ขณะนี้จะยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนของการหายตัวไปของนายอับดุลเลาะห์ แต่การหายตัวไปของพยานในคดีสำคัญที่เกี่ยวกับการกระทำผิดต่อกระบวนการยุติธรรมของเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง ทั้งยังเป็นพยานที่อยู่ในการคุ้มครองพยานของทางราชการเช่นนี้ จะส่งผลเสียหายต่อคดีและกระบวนการยุติธรรมเป็นอย่างมาก
เหตุการณ์นี้เป็นการตอกย้ำอีกครั้งหนึ่งของความเชื่อของประชาชนที่ว่า การไม่สามารถนำตัวเจ้าหน้าที่ที่กระทำผิด (Impunity) โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่มาดำเนินคดีเพื่อรับโทษตามกฎหมายนั้นยังคงเกิดขึ้นในประเทศไทย
ดังนั้นจึงขอเรียกร้องรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ทำหน้าที่คุ้มครองพยาน และ ป.ป.ช.ที่ทำหน้าที่ไต่สวนคดีซ้อมทรมานที่นายอับดุลเลาะห์ อาบูคารี รอที่จะไปเป็นพยานเบิกความในศาลอยู่หลายปีแล้วจนกระทั่งหายตัวไปดังกล่าวนี้ ได้แสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง โดยขอให้รัฐบาล กรมสอบสวนคดิเศษ และหน่วยงานความมั่นคงต้องสืบสวนสอบสวนเรื่องการหายไปของพยานรายนี้อย่างเร่งด่วนแล้วแถลงให้ประชาชนทราบ ให้ปรับปรุงและจัดสรรงบประมาณและกำลังคนในการคุ้มครองพยานให้มีประสิทธิภาพ ยิ่งไปกว่านั้นขอเรียกร้องอีกครั้งหนึ่งให้ ป.ป.ช. เร่งรัดการไต่สวนคดีซ้อมทรมานผู้ต้องหาคดีปล้นปืนซึ่งค้างอยู่ที่ ป.ป.ช.มา 2 ปีแล้วโดยเร็ว เพื่อไม่ให้คดีต้องเสียหายไปมากกว่านี้
มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.ต.หญิง นิตยา อิ่มอโณทัย หัวหน้าคณะทำงานภาคประชาสังคม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ได้เป็นตัวแทนของ พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพาภาคที่ 4 และ ผอ.รมน.ภาค 4 เดินทางไปเยี่ยมครอบครัวของ นายอับดุลเลาะห์ ที่ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เพื่อรับฟังปัญหาและให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแล้ว
------------------------------------------
อ่านประกอบ : รมว.ยุติธรรม สั่งสอบพยานปากสำคัญคดีซ้อมผู้ต้องหาปล้นปืนหายตัวลึกลับ
http://www.isranews.org/isranews/index.php?option=com_content&view=article&id=71:2009-12-18-13-53-03&catid=1:2009-11-14-06-19-24&Itemid=7