กพฉ.เห็นชอบหลักการแพทย์ฉุกเฉินฉบับ2 สร้างตัวชี้วัดใหม่ช่วยผู้ป่วยวิกฤติให้ได้ภายใน 8 นาที
บอร์ด กพฉ. ผ่านแผนหลักการแพทย์ฉุกเฉินฉบับที่ 2 เน้นพัฒนาความครอบคลุมระบบการแพทย์ฉุกเฉิน สร้างมาตรฐาน ทั้งในภาวะปกติและภัยพิบัติ ตั้งเป้ารณรงค์สายด่วน 1669 สร้างตัวชี้วัดใหม่ช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติให้ได้ภายใน 8 นาที พร้อมยกระดับสานความร่วมมือระดับอาเซียน ตั้งศูนย์กลางประสานความร่วมมืออาเซียนและนานาชาติเพื่อรองรับเหตุการณ์ภัยพิบัติ
เมื่อเร็วๆนี้ ที่สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) มีการประชุมคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน (กพฉ.) ซึ่งมีวาระการประชุมและพิจารณาเพื่อเห็นชอบแผนหลักการแพทย์ฉุกเฉินฉบับที่ 2 ประจำปี 2556-2559
นพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กล่าวภายหลังว่า ที่ประชุมบอร์ดได้พิจารณาอนุมัติตามร่างข้อเสนอ ซึ่งต่อจากนี้จะเข้าสู่การพิจารณาเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีได้ช่วงเดือนกันยายนเพื่อเป็นนโยบายด้านการแพทย์ฉุกเฉินให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติ อย่างไรก็ตามสำหรับแผนหลักฉบับที่ 2 นี้ จะมุ่งเน้นให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยยึดตามวิสัยทัศน์ที่ว่าประเทศไทยมีระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่มีมาตรฐานทั้งในภาวะปกติและภาวะภัยพิบัติที่ประชาชนเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียมและมีการจัดการอย่างมีส่วนร่วม
สำหรับแผนหลักการแพทย์ฉุกเฉินฉบับที่ 2 มีสาระสำคัญ คือ 1.เน้นการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินให้มีมาตรฐาน และทุกคนเข้าถึงอย่างเท่าเทียม ซึ่งจะเน้นการสร้างเครือข่ายในท้องถิ่น พัฒนาระบบการจัดการความรู้และการสื่อสาร โดยเฉพาะสายด่วนเจ็บป่วยฉุกเฉิน 1669 เพิ่มเจ้าหน้าที่ในส่วนปฏิบัติการ และพัฒนามาตรฐานระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินให้เข้มข้นขึ้น และตั้งเป้าให้ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติได้รับการบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินภายใน 8 นาที เพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิตหรือเสียชีวิตโดยไม่จำเป็น 2.ส่งเสริมพัฒนาภาคีเครือข่ายให้มีความเข้มแข็ง มีการบริหารจัดการที่ดีเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล 3.พัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินให้รองรับสาธารณภัย โดยมีเป้าหมายให้ทุกจังหวัดมีความพร้อม สร้างแผนการเตรียมพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์
4.พัฒนาระบบการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการแพทย์ฉุกเฉินได้อย่างพอเพียง และสามารถนำมาใช้ได้ทันต่อสถานการณ์ เนื่องจากที่ผ่านมาการดำเนินงานในแผนหลักฉบับแรก งบประมาณที่ได้น้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้ประมาณร้อยละ 60 ถือเป็นข้อจำกัด ดังนั้นจึงมีเป้าหมายปรับปรุงการใช้งบประมาณโดยจะบูรณาการงบประมาณเพื่อการจัดการระบบการแพทย์ฉุกเฉินร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ 5.ประสานความร่วมมือระบบการแพทย์ฉุกเฉินกับอาเซียนและนานาชาติ โดยจะจัดประชุมความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาศักยภาพของระบบการแพทย์ฉุกเฉิน รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ประสานความร่วมมืออาเซียนและนานาชาติเพื่อรองรับการเกิดเหตุการณ์ต่างๆ
“แผนหลักฉบับดังกล่าวว่า ถือเป็นแผนหลักที่เน้นการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน โดยที่ผ่านมาได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ทั้งในระดับผู้บริหาร นักวิชาการ ท้องถิ่น และผู้ปฏิบัติการด้านการแพทย์ฉุกเฉิน กว่า 4 พันคน เพื่อร่วมพัฒนาข้อบกพร่องจากแผนหลักฉบับที่1 และพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินให้ดียิ่งขึ้นต่อไป” นพ.ชาตรีกล่าว
