แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
กองทุนพัฒนาสตรี 7.7 พันล้าน ความเหลื่อมล้ำครั้งใหม่?
งบประมาณก้อนโต 7,700 ล้านบาท ได้รับการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา เพื่อเดินหน้าโครงการ “กองทุนพัฒนาสตรี” หลักการคือสรรงบสู่ท้องถิ่นจังหวัดละ 100 ล้านบาท ให้ครบ 77 จังหวัด
เงิน 60-80% ของกองทุนนี้ จะถูกนำไปใช้เพื่อพัฒนาอาชีพให้กับสตรี ส่วนที่เหลือเป็นไปเพื่อดำเนิน 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1.เป็นแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำหรือปลอดดอกเบี้ย 2.เป็นแหล่งเงินทุนในการสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังปัญหาสตรีโดยเฉพาะสตรีที่ถูกกดขี่ข่มเหงทางเพศ 3.เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับสนับสนุนกิจกรรมและรณรงค์ให้เข้าใจสตรีในทุกๆ มิติ 4.เป็นแหล่งเงินทุนสนับสนุนโครงการอื่นที่จะแก้ปัญหาและพัฒนาบทบาทสตรี
นายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยืนกรานโครงการนี้เป็นนโยบายเร่งด่วน ถือฤกษ์วันสตรีสากล เร่งแจกจ่ายให้ทันในวันที่ 8 มี.ค.
“กองทุนนี้มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีตัวแทนสตรีระดับจังหวัดร่วมเป็นกรรมการ โดยให้เริ่มดำเนินการคัดเลือกสตรีระดับจังหวัด เพื่อเข้าร่วมเป็นกรรมการในกองทุนดังกล่าวซึ่งเป็นการส่งเสริมบทบาทของสตรี ทั้งนี้ให้คณะกรรมการกฤษฎีกาไปหารือกับกระทรวงการคลัง พิจารณาทำให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 8 มี.ค. ซึ่งเป็นวันสตรีสากล เบื้องต้นให้งบประมาณแต่ละจังหวัด 70-130 ล้านบาทโดยแบ่งตามจำนวนประชากรของแต่ละจังหวัด” นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุถึงหลักเกณฑ์
ส่วนหลักการอื่น แม้จะมีการประกาศระเบียบในราชกิจจานุเบกษาแล้วก็ตาม ทว่าประชาชนทั่วไปกลับไม่ทราบถึงมิติเชิงรูปธรรมใดๆ
นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เห็นด้วยกับนโยบายกองทุนสตรีจังหวัดละ 100 ล้านบาท แต่ยังเห็นว่า รัฐบาลควรกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้จริง ไม่ควรจำกัดอยู่แค่ส่งเสริมรายได้หรือพัฒนาอาชีพ ที่สำคัญคือควรเน้นแก้รากเหง้าปัญหาที่มาจากความไม่เท่าเทียมกันระหว่างหญิงชาย
ความคลุมเครือของนโยบายสอดรับด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาล ยังผลให้เกิดเสียงวิพากษ์หลายหลาย ทั้งในแง่ความถูกต้องของการออกกฎหมายเพื่อบังคับใช้ รวมถึงผลเลิศของโนบายกับกลุ่มผู้ได้รับผลประโยชน์
คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) เสนอความคิดเห็นไปยังรัฐบาลว่า กฎหมายเรื่องกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีควรตราเป็นพระราชบัญญัติ มากกว่าจะออกเป็นเพียงร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี นั่นเพราะเกี่ยวข้องกับเงิน 7,700 ล้านบาท และที่มาของเงินในกองทุนส่วนหนึ่งจะมาจากการกู้ จึงเป็นการเพิ่มภาระหนี้สินให้กับประเทศและประชาชนอย่างไม่จำเป็น
นายคณิต ณ นคร ประธานคปก. บอกว่า กระบวนการบริหารกองทุนพัฒนาสตรีนี้ยังไม่มีความชัดเจน แทนที่จะเป็นไปตามหลักการทั่วถึงและเท่าเทียม ซึ่งจะต้องเปิดโอกาสให้สตรีทุกภาคส่วนได้เข้าถึงกองทุนฯ อย่างเสมอภาค แต่กลับเป็นการสร้างช่องว่างให้ผลประโยชน์ตกอยู่กับสตรีเฉพาะกลุ่มที่มาขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิกกองทุนฯ เท่านั้น
นอกจากนี้ ภาคประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเครือข่ายองค์กรสตรีและกลุ่มสตรีทั่วประเทศกลับไม่มีส่วนร่วมในกระบวนการจัดทำนโยบาย และการรับฟังความคิดเห็นก็ทำในระยะสั้นและในวงแคบ
“ประเด็นสำคัญของการทำกองทุนฯ คือต้องไม่ทำไปเพื่อใช้หาเสียง” ประธานคปก.รายนี้ ระบุ พร้อมเสนอแนะว่า 1.รัฐบาลต้องมีนโยบายและมาตรการในการเสริมสร้างศักยภาพของผู้หญิงอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน 2.รัฐบาลจะต้องเร่งตรากฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมโอกาสและความเสมอภาคระหว่างเพศ 3.รัฐบาลต้องดำเนินนโยบายและมาตรการเพื่อประกันว่าผู้หญิงจะได้รับความเป็นธรรมทางสังคม โดยการกำหนดมาตรการทางกฎหมายและมาตรการอื่นๆ ในทุกระดับ
สอดคล้องกับข้อเสนอจากเครือข่ายภาคประชาชนและกลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านผู้หญิง ที่เห็นตรงกันว่าปัญหาผู้หญิงไม่ได้แก้ได้ด้วยเม็ดเงินเพียงอย่างเดียว ทว่าหากเลือกจะทำโครงการที่ใช้เม็ดเงินมหาศาลแล้ว ก็จำเป็นต้องรับฟังความคิดเห็นให้หลากหลายยิ่งขึ้น
น.ส.ธนวดี ท่าจีน ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนหญิง เรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของผู้หญิงทั่วประเทศ และร่างระเบียบกองทุนจากตัวแทนขององค์กรผู้หญิง 20 แห่ง ประกอบด้วยนักวิชาการ นักกฎหมาย หน่วยงานรัฐ
น.ส.สุธาดา เมฆรุ่งเรืองกุล ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้หญิงพลิกโฉมประเทศไทย บอกว่า เห็นด้วยและสนับสนุนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี แต่ยังเป็นห่วงเพราะไม่อยากให้กองทุนสตรีเป็นกองทุนเพื่อการกู้ยืมอย่างเดียว แต่ควรเป็นกองทุนที่พัฒนาบทบาท คุณภาพชีวิตของสตรี ซึ่งไม่สามารถใช้แค่ตัวเลขหรือเม็ดเงิน แต่เป็นเรื่องของกระบวนการ
"ที่สำคัญหากจะให้เกิดความยั่งยืนต้องทำเป็นพระราชบัญญัติ เป็นกฎหมายและเป็นกองทุนที่ถาวร พัฒนาต่อเนื่องยั่งยืน เพื่อทำให้สตรีมีพลังมากขึ้น
"ถ้าอยากแจกเงินให้จังหวัดละ 100 ล้านแบบเร่งด่วนต้องตั้งคณะกรรมการที่มีตัวแทนจากทุกภาคส่วนช่วยกันดูแล เช่น เครือข่ายภาคประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนักวิชาการ สื่อมวลชน และภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาบทบาทของผู้หญิง ต้องมีหลายระดับชั้น ตั้งแต่ระดับชุมชน ตำบล อำเภอ จังหวัด และระดับประเทศ การบริหารอยู่บนหลักกระจายอำนาจ โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยใช้กลไกคณะกรรมการเครือข่ายจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแล" ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้หญิงพลิกโฉมประเทศไทย ระบุ
น.ส.พัชรี ไหมสุข เครือข่ายผู้หญิงยุติความรุนแรงแสวงสันติภาพ สะท้อนความคาดหวังของผู้หญิงในภาคใต้ว่า อยากได้รับการดูแลจากรัฐบาลให้มากขึ้น เพราะปัญหาเรื่องความมั่นคงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งแทบจะไม่สามารถเข้าถึงกองทุนต่างๆ ได้ โดยเฉพาะกลุ่มหญิงม่ายและผู้หญิงที่อยู่ในพื้นที่ที่ไม่สามารถออกไปไหนได้ ด้วยข้อจำกัดเรื่องความปลอดภัย
เป็นเหตุให้เครือข่ายสตรีร่วม 7 องค์กร เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกเสนอข้อห่วงใยต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยมีประเด็นสำคัญคือ รัฐบาลควรดำเนินการขับเคลื่อนแบบบูรณการ และให้สตรีทุกอาชีพ เชื้อชาติ ศาสนา มีบทบาทร่วมกันอย่างเสมอภาค และเปิดให้มีกรรมการบริหารกองทุนจากทุกระดับ ใช้เงินอย่างโปร่งใสและมีการกระจายอำนาจเพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบ
นางวิไลวรรณ แซ่เตีย รองประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย เห็นว่า ระเบียบของสำนักนายกฯ สร้างความเหลื่อมล้ำให้เกิดขึ้นกับแรงงานสตรี นั่นเพราะระเบียบกำหนดกรอบผู้ที่มีสิทธิเข้าถึงกองทุนจะต้องมีรายชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ทว่าข้อเท็จจริงของแรงงานคือมีชื่ออยู่ที่ต่างจังหวัดแต่ตัวเข้ามาทำงานในกทม. นั่นเป็นเหตุให้อาจต้องขาดคุณสมบัติ
นางวิไลวรรณ เรียกร้องรัฐบาลว่า อยากให้น.ส.ยิ่งลักษณ์พิจารณาเพื่อแก้ระเบียบสำนักนายกฯ หรือแก้ไขในชั้นของการยกร่างพ.ร.บ.ก็ได้ มิเช่นนั้นโครงการกองทุนสตรีจะกลายเป็นการเลือกปฏิบัติและสร้างความลักลั่นในสังคมขึ้น ซึ่งตรงข้ามกับนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ต้องการลดช่องว่างในสังคมลงอย่างสิ้นเชิง
“วิธีการยืนยันตัวบุคคลไม่ใช่เรื่องยาก อย่างฐานข้อมูลของสำนักงานประกันสังคมก็ชัดเจนแล้วว่ามีแรงงานหญิงอยู่เท่าใด ความจริงไม่ควรสนใจเรื่องทะเบียนบ้าน หากกลุ่มแรงงานหญิงเหล่านี้สามารถรวมตัวกันได้และอ้างอิงได้ว่าเป็นแรงงานที่ทำงานอยู่จริง ก็น่ามีโอกาสเสนอโครงการเพื่อเข้าถึงเงินในกองทุนได้เหมือนกับคนอื่นๆ” ผู้นำแรงงานรายนี้แสดงความคิดเห็น
ล่าสุด เมื่อวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา นางนลินี ทวีสิน รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประชุมร่วมกับสมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเครือข่ายองค์กรสตรีภาคใต้ 14 จังหวัด เพื่อรับฟังความเห็นกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี
นางนลินี ระบุถึงความคืบหน้าของการรับสมัครสมาชิกกองทุนฯ เพื่อสรรหาคณะกรรมการในระดับภูมิภาคว่า หลังจากที่เริ่มเมื่อวันที่ 18 ก.พ. ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิกแล้วเป็นจำนวนมากกว่า 1.7 ล้านคน จากทุกภาคของประเทศ ซึ่งถือเป็นสัญญาณตอบรับที่ดี ทำให้คณะกรรมการฯ ตัดสินใจขยายกำหนดเวลาลงทะเบียนสมาชิกฯ ให้กับผู้ที่สนใจสมัครเป็นคณะกรรมการฯ ไปจนถึงวันที่ 31 มี.ค.2555
สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล บอกว่า กลไกของคณะกรรมการในระดับภูมิภาคเป็นสิ่งดี แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือไม่มีประชาชนหรือกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วม นั่นเพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้ระเบียบและขั้นตอนในการสมัครเข้าเป็นสมาชิก รวมถึงสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นกรรมการ
สุเพ็ญศรี กล่าวอีกว่า จากนี้รัฐควรเข้มข้นเรื่องการสื่อสารเป็นหลัก ทั้งในพื้นที่กทม.และต่างจังหวัด นอกจากนี้ควรเพิ่มคุณภาพในกลไกการรับฟังความคิดเห็นให้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมาในแต่ละเวทีมีตัวแทนที่แท้จริงของสตรีในแต่ละกลุ่มไม่ครบถ้วน อาทิ สตรีที่อายุ 15 ปี ซึ่งสามารถสมัครเข้าเป็นสมาชิกในกองทุนและสมัครรับคัดเลือกเป็นกรรมการฯ ได้ คำถามคือเด็กกลุ่มนี้ยังไม่สามารถทำนิติกรรมเองได้ หากได้รับคัดเลือกแล้วจะเป็นอย่างไร ตรงนี้ก็จะเป็นต้องแก้ไข
“อีกเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลต้องอธิบายให้ชัดเจน คือเงินจำนวน 7,700 ล้านบาท มันไม่ใช่นำมาใช้ในกองทุนนี้ทั้งหมด เพราะเบื้องต้นในปีแรก จะมีเม็ดเงินที่เข้ามาในระบบเพียง 1,500 ล้านบาทเท่านั้น เมื่อจำแนกลงไปรายจังหวัดแล้ว ก็ยิ่งจะไม่เพียงพอ ที่สำคัญแต่ละจังหวัดมีประชากรไม่เท่าเทียมกัน ก็จะได้รับเงินไม่เท่ากันอีก ตรงนี้จะเกิดปัญหาในอนาคตได้ถ้ารัฐบาไม่ให้ความชัดเจน”สุเพ็ญศรี เสนอแนะและตั้งข้อสังเกต
“กองทุนพัฒนาสตรี” ในเฟรสแรกอาจเพียงเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ แถลงต่อรัฐสภา จึงเลือกใช้ระเบียบสำนักนายกฯ ทว่าในระยะยาวจำเป็นต้องสร้างความยั่งยืน จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงแนวทางการออกพ.ร.บ.ได้ ข้อเสนอหลากหลายในข้างต้น น่าสนใจ น่ารับฟัง และน่าถูกหยิบยกไปเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาออก พ.ร.บ.ในอนาคต
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบ