แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
วิกฤต 'ดญ.แม่' อย่าอุดรูรั่วเฉพาะ 'วาเลนไทน์'
ปัญหาเชิงสังคมหลากหลายมิติที่ผูกติดกันยังผลให้พฤติกรรมของคนปรับเปลี่ยนไป โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชนที่ยังเขลาด้วยน้อยประสบการณ์ แน่นอนว่าภูมิต้านทานในการดำเนินชีวิตยังอยู่ในระดับต่ำ
ต้องยอมรับว่า เด็ก-เยาวชนในประเทศไทยโตเร็วกว่าในอดีต ฮอร์โมนที่พุ่งพล่านแปรผันตรงกับความใคร่รู้ใคร่ลอง ไม่แปลกหากบอกว่าเรื่องเพศเป็นสิ่งที่สนใจ ที่น่าแปลกคือเรื่องเพศกลับถูกยกให้เป็นสิ่งเร้นลับในสังคมแห่งนี้
ในยุคที่โลกหมุนเร็วขึ้น สิ่งเร้าทั่วทุกสารทิศมีโอกาสพุ่งตรงเข้าสู่เด็กและเยาวชนได้ทุกเมื่อ จับสัญญาณผ่านปรากฏการณ์บางอย่างสะท้อนถึงปัญหาอันน่าหวาดวิตก ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีเด็กและเยาวชนเป็น “เหยื่อ” ... ที่สำคัญคือเป็นเหยื่อโดยไม่รู้เท่าทันตัวเอง
เกิดเป็นคำถาม ... แล้วผู้ใหญ่-ผู้ปกครอง รู้เท่าทันปัญหาของเด็กบ้างหรือไม่ ?
ข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยนวัตกรรมอินเทอร์เน็ตไทย ระบุถึงสถิติที่หลายฝ่ายจำเป็นต้องหันกลับมาสนใจ
คำว่า "ชักว่าว" เป็นคำค้นอันดับ 1 สูงสุดรอบ 3 เดือนหลังในปี 2554 ของ www.teenpath.net ลำดับถัดมาคือคำว่า "เพศศึกษา" นอกจากนี้ยังพบว่ามี
การค้นคำว่า มีเพศสัมพันธ์ตอนเป็นประจำเดือนจะท้องหรือไม่ และหลั่งข้างนอก และอื่นๆ อีกมากมาย
สมวงศ์ อุไรวัฒนา รองผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เชื่อว่า ผู้ที่ค้นคำว่าชักว่าวน่าจะอยู่ในระดับมัธยมต้น และมั่นใจว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจของทั้งเด็ก
ผู้หญิงและเด็กผู้ชาย ซึ่งหากมองในแง่ดีคือเด็กให้ความสนใจเรื่องการช่วยตัวเองมากกว่าร่วมเพศ
คำถามคือ ความเป็นจริงจะสวยงามอย่างที่ สมวงศ์ กล่าวไว้หรือไม่
พญ.เบญจพร ปัญญายง ผู้อำนวยการศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต บอกว่า แนวโน้มการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงของวัยรุ่นเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด โดยพบกว่า 2.5 แสนครรภ์ต่อปี จำนวนนี้มีประมาณ 50% ทำแท้ง นอกจากนี้ ที่น่ากลัวคือพบว่าผู้ที่ตั้งครรภ์มีอายุต่ำลงเรื่อยๆ โดยปัจจุบันพบเด็กอายุเพียง 13 ปีตั้งครรภ์
ตอกย้ำสถานการณ์ที่หมิ่นเหม่ด้วย ข้อมูลจากเวทีวิชาการเรื่อง “การสร้างเสริมสุขภาพในกลุ่มเยาวชน : การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อม” จรรยาวัฒน์ ทับจันทร์ ประธานชมรมพยาบาลชุมชนแห่งประเทศไทย ระบุว่า ข้อมูลปี 2553 พบสถิติแม่วัยรุ่นคลอดลูก สูงสุดถึง 336 คนต่อวัน หรือคิดเป็น 16% ของการคลอดลูกของหญิงไทยทั้งประเทศ โดยสถิตินี้ถือว่าสูงกว่าที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ ซึ่งต้องไม่เกิน 10% ของการตั้งครรภ์ของหญิงทั่วประเทศเท่านั้น
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก ระบุว่า ค่าเฉลี่ยของผู้หญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีของทั่วโลกอยู่ที่ 65 ต่อ 1,000 คน ส่วนค่าเฉลี่ยของผู้หญิงในทวีปเอเชียอยู่ที่ 56 ต่อ 1,000 คน โดยประเทศไทยมีผู้หญิงตั้งครรภ์ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี จำนวน 70 ต่อ 1,000 คน
นับเป็นตัวเลขที่สูงสุดของประเทศในทวีปเอเชีย และเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศแอฟริกา
ขณะที่เมื่อรับทราบทัศนคติของเพศชาย ยิ่งเร้าให้ปัญหาบานปลายขึ้น จะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เปิดเผยผลสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างเพศชายอายุ 12-35 ปี จำนวน 1,000 คน พบว่า ผู้ชาย 31% เห็นว่าตัวเองมีสิทธิมีคนอื่นได้แต่แฟนหรือภรรยาห้ามมี และ 36% เห็นว่าผู้หญิงต้องแสดงออกถึงความรักด้วยการยอมมีเพศสัมพันธ์
ล่าสุด ผลสำรวจต้องรับวันวาเลนไทน์ของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า 25.9% ของเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ยอมรับว่าวางแผนหรือมีโอกาสจะมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกในวันวาเลนไทน์นี้
จากข้อมูลข้างต้น ชัดเจนแล้วว่าสถานการณ์ปัญหาในเด็ก-เยาวชนอยู่ในระดับวิกฤต
ณัฐยา บุญภักดี ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ สสส. เชื่อว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเริ่มตั้งแต่ความอายของผู้ปกครองที่ไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องเพศกับบุตรหลานอย่างไร และมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดี ท้ายที่สุดก็เกิดเป็นช่องว่าง
เธอ บอกว่า ผู้ปกครองควรแนะนำบุตรหลานอย่างถูกวิธี โดยอาจไม่ต้องเริ่มจากเพศสัมพันธ์ แต่ต้องอธิบายตั้งแต่วิธีการวางตัวกับเพศตรงข้าม การคบหาอย่างไรและแค่ไหนถึงจะปลอดภัย นอกจากนี้อาจใช้วิธีเล่าเรื่องอดีตของผู้ปกครองแทน เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ให้กับบุตรหลาน
สำหรับปัญหาการท้องก่อนวัย ณัฐยา เห็นว่า มีที่มาจากหลายสาเหตุ แต่ส่วนใหญ่พบว่าเกิดจากทัศนคติที่ผิด อาทิ การใช้ถุงยางอนามัยจะไม่แมน เป็นคนขี้กลัว ไม่กล้าเสี่ยง ขณะที่ผู้หญิงไม่กล้าบอกให้ผู้ชายใส่ หรือกลัวว่าแฟนไม่รัก นอกจากนี้ยังพบว่าถุงยางอนามัยมีราคาแพงสำหรับวัยรุ่น
พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ จิตแพทย์โรงพยาบาลศรีธัญญา เชื่อว่า ปัญหาของเด็กเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับการหมกมุ่นทางเพศหรือเพราะเข้าถึงสิ่งเร้ามากขึ้น ที่สำคัญมั่นใจว่าสังคมไม่ได้ทำให้เด็กเกิดปัญหา แต่ต้นเหตุเกิดจากพฤติกรรมของเด็ก-เยาวชนที่ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ซึ่งเกิดได้จากหลายกรณี
พญ.อภิสมัย อธิบายว่า แน่นอนว่าสมองที่ใช้สำหรับคิดวิเคราะห์กับสมองที่ใช้สำหรับอารมณ์แบ่งส่วนกัน เมื่อถามเด็กที่ตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรจะพบว่าเกือบทั้ง 100% ทราบดีว่าควรป้องกันตัวอย่างไร ยาใดกินเพื่อคุมฉุกเฉิน การนับระยะปลอดภัยเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตามเมื่ออยู่ตามลำพังกับเพศตรงข้ามมันกลับกลายเป็นเรื่องของอารมณ์ที่อยู่นอกเหนือหลักการและเหตุผลใดๆ
“เด็กทุกวันนี้ถูกเลี้ยงมาด้วยพฤติกรรมเร่งรีบ อยากได้อะไรผู้ปกครองก็จัดหามาให้ทันที ไม่เคยต้องรอ ตรงนี้มันทำให้เสพติดพฤติกรรมที่ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ท้ายที่สุดก็จะกระโจนเข้าสู่ความเสี่ยง” เธอ อธิบาย
พญ.อภิสมัย บอกอีกว่า แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร แต่ทั้งหมดเกิดขึ้นอยากความผิดพลาด ดังนั้นสิ่งที่เด็กเหล่านั้นควรได้รับจากผู้ใหญ่คือแนวทางการเยียวยาไม่ใช่คำประณาม ที่สำคัญผู้ใหญ่ทั้งครอบครัว ครูอาจารย์ แพทย์ ต้องร่วมกันเยียวยาเด็กเหล่านี้ ต้องทำให้เขาคิดถึงทันทีเมื่อเกิดปัญหา
“การตั้งครรภ์มีความเสี่ยงสูง ดังนั้นผู้ปกครองจำเป็นต้องเข้าให้ถึงปัญหาของเด็กอย่างรวดเร็ว ถ้าผู้ปกครองไม่สนใจหรือมีให้แต่การด่าทอประณาม เด็กก็จะเลือกปรึกษาเพื่อนวัยเดียวกันแทน ทางออกก็คือทำแท้งเถื่อน ในทางกลับกันหากผู้ปกครองเข้าถึงตัวเด็กและปัญหาเด็ก ก็มีโอกาสส่งตัวเข้ารับการดูแลครรภ์ในโรงพยาบาล
เรื่อยมาถึงกระบวนการให้คำปรึกษา เปิดอกคุยกันว่าจะทำอย่างไร เรื่องเรียนจะพักก่อนหรือไม่ หรือเมื่อตรวจครรภ์แล้วพบอันตราย จะยุติการตั้งครรภ์ด้วยมือแพทย์อย่างถูกต้องอย่างไร” เธอระบุ
วัลลภ ตังคณานุรักษ์ หรือครูหยุย บอกว่า เด็กหญิงที่ตั้งครรภ์ในวัยเรียนมักมีทางออกให้กับตัวเอง 3 ทาง คือ 1.ทำแท้ง 2.หลบเลี่ยงสังคมไปคลอดบุตรแล้วกลับมาเรียน 3.สู้ชะตากรรมด้วยการลาออกไปทำงานส่วนสถานศึกษานั้นจะปฏิบัติต่อเด็กใน 3 ลักษณะคือ 1.ไล่ออก 2.ให้ออกชั่วคราวจนกว่าจะคลอดบุตร แล้วจึงอนุญาตให้กลับมาเรียน 3.ให้ออกชั่วคราวแล้วหาสถานศึกษาแห่งใหม่ให้ศึกษาต่อ
"ผมมองว่าแนวปฏิบัติข้อ 3 เป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะเด็กจะได้ไม่อับอาย ส่วนการออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหานี้นั้นสุ่มเสี่ยงที่จะมองได้ในหลายมุม เช่น เป็นการส่งเสริมทางอ้อมให้เด็กท้องได้หรือไม่ เพราะปัจจุบันมีเด็กที่ตั้งครรภ์ในวัยเรียนเป็นจำนวนมาก” ครูหยุยกล่าว
ทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก ยืนยันว่า ปัญหาเด็ก-เยาวชนทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวเด็กเอง แต่เด็กต้องเป็นผู้รับผลร้ายจากปัญหาเหล่านั้น คำถามคือเหตุใดผู้ใหญ่ ผู้มีอำนาจ เจ้าหน้าที่ รัฐบาล ซึ่งมีส่วนสร้างปัญหาและเป็นผู้ควบคุมกลไกการแก้ปัญหากลับเลือกที่จะนิ่งเฉยและมองไม่เห็นปัญหา
”เด็กไม่ใช่ผู้กุมกลไกการขับเคลื่อนในประเทศนี้ ทั้งหมดมันอยู่ในมือผู้ใหญ่ แต่เขากลับไม่ทำหน้าที่เหล่านี้อย่างจริงจัง เมื่อเกิดปัญหาก็โยนบาปมาให้เด็กว่าเป็นตัวสร้างปัญหา มันเป็นการใส่ร้ายป้ายสีกันเกินไป” ทิชา ระบุ
เธอ ยกตัวอย่างว่า การแก้ปัญหาเพศสัมพันธ์ในวันวาเลนไทน์ เป็นไปอย่างด้อยปัญญาเสียสติ ถามว่าการตั้งเคอร์ฟิวเด็กในวันเดียวจะได้ผลอะไรไปมากกว่าเอามืออุดรูรั่วไปวันๆ ทั้งๆ ที่พฤติกรรมของเด็กเขาอาจจะเลือกวันอื่นที่เหลืออีกมากมายมีเพสสัมพันธ์เมื่อใดก็ได้ ตรงนี้สะท้อนให้เห็นความไร้ประสิทธิภาพและการให้น้ำหนักต่อปัญหาเด็ก-เยาวชน ที่เบาลงเรื่อยๆ
“กล้ายืนยันเลยว่า จากประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน สถานการณ์ปัญหาเด็ก-เยาวชนไม่เคยดีขึ้นเลย ไม่ว่าจะเปลี่ยนผู้มีอำนาจหรือเปลี่ยนรัฐบาลชุดไหนๆ สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือการแก้ปัญหาแบบอุดรูรั่วไปวันๆ นั่นเพราะลำพังจะเอาตัวเองไม่รอดกันทั้งนั้น” ทิชายืนยัน
ทิชา เสนอทางออกว่า ผู้มีความรู้ นักเคลื่อนไหว ผู้ที่ทำงานคาบเกี่ยวกับปัญหาเด็ก-เยาวชนในประเทศไทยมีจำนวนมาก ปัญหาและข้อเสนอต่างๆ ถูกจัดเรียงไว้พร้อมนำเข้าสู่การจัดทำนโยบาย แต่ปัญหาคือไม่เคยมีใครมาพูดคุยเพื่อให้ได้ข้อยุติของปัญหาอย่างจริงจัง หากมีมาคุยก็เป็นไปในลักษณะจบในเวทีก็ออกไปแถลงข่าวกับสื่อมวลชน จากนั้นก็แยกย้ายปล่อยให้ปัญหามันถูกทิ้งไว้ที่เดิม โดยไม่มีการสานต่อ
ดังนั้นสิ่งที่ควรทำอย่างแรกคือการรับฟังปัญหาอย่างเปิดใจ และเมื่อรับฟังแล้วก็ไปทำต่อให้จริงจัง ตัวอย่างเช่น พูดกันว่าเด็ก-เยาวชนวัยเจริญพันธุ์จำเป็นต้องมีครูเป็นผู้แนะนำเพื่อให้รู้เท่าทันอารมณ์ แต่กลับมุ่งเน้นสอนในตำราอย่างเดียว หนำซ้ำยังทิ้งเด็กไว้กับสื่อยั่วยุที่เข้าถึงง่าย เช่น โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต
หรือปัญหากับดักในสถานที่ต่างๆ อาทิ ร้านเหล้า ผับบาร์ ซึ่งหลอกล่อให้เด็กเข้ามาติดกับโดยง่าย ข้อเสนอจากคนทำงานด้านเด็ก-เยาวชน ก็มีให้เห็นอยู่ตลอดเวลา เช่น การให้เข้มงวดเอาจริงเอาจังในการตรวจบัตรประชาชน แต่ท้ายที่สุดลำพังวิธีง่ายๆ เช่นนี้ภาครัฐ ผู้ประกอบการก็ไม่ให้ความสำคัญ ยังปล่อยให้มีเด็ก-เยาวชนเข้าไปใช้บริการอยู่มากมายและง่ายดาย
“พวกนี้มันเป็นข้อเสนออย่างมีรูปธรรม แต่เมื่อผู้มีอำนาจไม่ทำ ปัญหาก็ไม่มีวันจบ” เธอ กล่าวทิ้งท้าย