แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
ทีดีอาร์ไอ เตือนเลิกนโยบายประชานิยม ก่อนหนี้สาธารณะพุ่ง100%
ดร.สมชัย ชี้นโยบายประชานิยมทำรายจ่ายปูด ซัดจำนำข้าวสร้างบาปให้ชาวนาระยะยาว เป็นปัญหาร้ายแรงกว่าหนี้สาธารณะ ระบุประชานิยมเป็นเปลือกหอยคอยป้องกันให้คอร์รัปชั่นได้อย่างสบาย
วันที่ 31 กรกฎาคม ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาการเศรษฐกิจส่วนรวมและการกระจายรายได้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวในงานสัมมนา “GDP ปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทยแค่ไหน” ซึ่งจัดโดยคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน วุฒิสภา ในหัวข้อ ”GDP ไทยวางใจได้จริงหรือ” ตอนหนึ่งว่า ปัจจัยที่ต้องนำมาประเมินความเสี่ยงในด้านความเข้มแข้งทางเศรษฐกิจนั้น มี 2 ปัจจัย ได้แก่ ความเสี่ยงจากนอกประเทศได้แก่ วิกฤตยูโร และความเสี่ยงจากในประเทศ คือ นโยบายประชานิยม
ดร.สมชัย กล่าวว่า วิกฤตยูโรนั้นมีผลกระทบต่อไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยผลกระทบทางอ้อม ด้านความสัมพันธ์ ด้านการเงินนั้นไม่ค่อยเป็นปัญหาเพราะไทยมีความสัมพันธ์ทางด้านการเงินกับกลุ่มประเทศเหล่านี้ค่อนข้างน้อย ในขณะที่ ผลกระทบทางตรงจากการส่งออกนั้น เราส่งออกไปยัง 5 ประเทศในกลุ่มยูโร อันได้แก่ โปรตุเกส ไอซ์แลนด์ อิตาลี กรีซ และสเปน เพียง 2% ของการส่งออกทั้งหมด ดังนั้นก็แทบจะไม่มีผลกระทบเลย แต่การที่ภาพรวมการส่งออกของไทยติดลบนั้น อาจมาจากปัจจัยในด้านอื่นๆ เช่น ประเทศที่ไทยส่งออกนั้นได้รับผลกระทบจากวิกฤตดังกล่าว เป็นต้น ทั้งนี้การส่งออกของ ไทยอาจต้องพึ่งประเทศจีนมากขึ้น เนื่องจากจีนมีศักยภาพมากพอจะช่วยประเทศตนเอง และประเทศไทย เนื่องจากมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งมาก
“ที่ต้องห่วงคือ ปัจจัยภายในของเราเอง ซึ่งมีทั้งที่ดีและไม่ดี ส่วนที่ดีคือ มีภาพพจน์ที่ดี ในส่วนที่จะมีการลงทุนขนาดใหญ่ในประเทศ ภายใต้งบประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท นั้นถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ทั้งนี้ ต้องทำในพื้นที่ที่เหมาะสม ที่สำคัญคือต้องให้มี ความโปร่งใสในระดับหนึ่ง อย่าให้รั่วไหลมาก ซึ่งในส่วนนี้รวมถึงงบประมาณ 3.5 แสนล้านสำหรับการจัดการน้ำท่วมด้วย ซึ่งการลงทุนเหล่านี้มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีบางนโยบายประชานิยมที่เข้ามาเป็นได้ตัวถ่วง”
ดร.สมชัย กล่าวถึงนโยบายประชานิยม ว่า สามารถมองได้ 2 รูปแบบคือ 1.เป็นเครื่องมือทางการเมือง และ 2.เป็นนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งแม้บางนโยบายจะใช้ชื่อเป็นนโยบายทางเศรษฐกิจแต่ก็มีการออกแบบมาเพื่อให้ชนะการเลือกตั้งเท่านั้น เนื่องจากมีแนวคิดว่านโยบายที่จะช่วยในการเลือกตั้งได้ ต้องเป็นนโยบายที่ออกแบบมาให้กินได้เร็ว หรือที่เรียกกันว่า ประชาธิปไตยกินไว หรือประชาธิปไตยกินด่วน
อย่างไรก็ตาม ดร.สมชัย กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมามีเพียงนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นถือเป็นนโยบายที่แม้จะเป็นเครื่องมือทางการเมืองแต่ก็เป็นนโยบายเศรษฐกิจที่ได้รับการยอมรับด้วย เนื่องจากประชาชนสามารถเข้าถึงได้ทุกคน และใช้ได้ในระยะยาว
เตือนลดนโยบายประชานิยม ก่อนหนี้พุ่ง 100% เหมือนกรีซ
นอกจากนี้ ดร.สมชัย ได้เปรียบเทียบประเทศไทยกับประเทศกรีซ ที่ขณะนี้มีปัญหาหนี้สาธารณะกว่า 100% ของจีดีพี อันมี สาเหตุมาจากการทำนโยบายประชานิยม ว่าประเทศกรีซมีการทำนโยบายประชานิยมมากว่า 30 ปี มุ่งเน้นการปรับเงินเดือนราชการ ส่งผลให้เกิดความเสียหายใหญ่กับภาครัฐ รวมถึงเป็นการเพิ่มหนี้สาธารณะไปพร้อมๆกันด้วย อย่างไรก็ตาม นโยบายประชานิยมของไทยนั้นไม่ได้คล้ายกับกรีซไปทั้งหมด เพราะเงินที่ใช้ไปยังลงไปสู่มือของประชาชนอยู่บ้าง ซึ่งถือว่า ไทยน่าจะดูดีกว่ากรีซหน่อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ก่อให้เกิดหนี้สาธารณะเพราะในบางเรื่องก็มีส่วนคล้ายกันอยู่
“ถ้าสังเกตจะพบว่านโยบายประชานิยมส่วนใหญ่จะมาในช่วงการเลือกตั้ง และมาจากทั้ง 2 ฝ่าย การที่มีพรรคใดพรรคหนึ่ง มีนโยบายประชานิยมจ๋าและได้รับการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย ในขณะที่อีกฝั่งดูเหมือนจะมีจุดยืน แต่การแพ้การเลือกตั้ง 10 ปีติดต่อก็อาจจะส่งผลให้หันมาใช้นโยบายประชานิยมได้ด้วยเช่นกัน ปรากฏการณ์นี้ไทยมีส่วนคล้ายกับกรีซอยู่มาก ซึ่ง ถ้าตีเล่นๆว่า ถ้าเราทำนโยบายประชานิยมทุกปีและมีหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นปีละ 4%ของจีดีพี ในอีก 15 ปีข้างหน้า หนี้ สาธารณะจะเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 60% ของจีดีพี และเมื่อรวมกับกับหนี้สาธารณะขณะนี้ที่ 40% ของจีดีพี จะเท่ากับไทยมีหนี้สาธารณะ 100% ของจีดีพีเท่ากับกรีซขณะนี้“ ดร.สมชัย กล่าวและว่า อย่างไรก็ตามหนี้สาธารณะจะขึ้นอยู่กับความถี่ ของนโยบายประชานิยมด้วย ซึ่งแนวคิดนี้ก็จะยังคงมีอยู่ จึงต้องมีการออกมาเตือนเพราะถือว่าเป็นเรื่องที่อันตราย
ประชานิยมเป็น ‘เปลือกหอย’คอย ป้องกันให้คอร์รัปชั่นได้สะดวก
ทั้งนี้ ดร.สมชัย กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ประเทศไทยเริ่มมีนโยบายประชานิยมแบบพร่ำเพรื่อ เช่น นโยบายพักหนี้ดี โดยมองว่า ไม่มีความจำเป็นสำหรับผู้ที่มีหนี้ดีแล้ว แต่ด้วยความที่ต้องการชนะการเลือกตั้งจึงเกิดนโยบายในลักษณะนี้ขึ้น รวมไปถึง นโยบายจำนำข้าวด้วย โดยมองว่าเป็นการทำลายระบบตลาดข้าวอย่างสิ้นเชิง หลังจากที่มีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลและดู เหมือนจะดีขึ้น แต่ก็ต้องถูกทำลายอีกครั้ง เนื่องจากองคาพยพที่ช่วยผลักดันให้ข้าวไทยได้เชิดหน้าชูตามาหลายปีนั้นต้อง ถูกทำลายหมด ซึ่งถือว่าเป็นบาปต่อชาวนาในระยะยาว และร้ายแรงกว่าปัญหาหนี้สาธารณะเสียอีก
“รูปแบบของความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบันมันไปถึงขั้นที่ว่า ทำอะไรก็ได้ขอให้ชนะ ทำให้หลักการที่สำคัญหายไป เช่น เห็นว่าคอร์รัปชั่นได้ไม่เป็นไรขอให้ได้ประโยชน์ เป็นต้น ซึ่งคุณค่าเหล่านี้ถูกลดความสำคัญไป เพียงเพราะต้องการชัยชนะ ซึ่งถือว่าเป็นความน่ากลัวของหายนะของการเมืองปัจจุบัน”
ดร.สมชัย กล่าวถึงเรื่องความน่ากลัวของการทุจริตคอร์รัปชั่นกับนโยบายประชานิยมด้วยว่า โดยเนื้อแล้วคิดว่าคอร์รัปชั่น น่ากลัว แต่ทั้งนี้ ประชานิยมทำหน้าที่เป็น ‘เปลือกหอย’ คอยป้องกันให้กับคอร์รัปชั่น หมายความว่า ทำประชานิยมเพื่อให้ แน่ใจว่าได้อำนาจรัฐอย่างท่วมท้น และเมื่อมีอำนาจรัฐก็สามารถคอร์รัปชั่นได้อย่างสบาย เพราะมั่นใจว่าหากมีการเลือกตั้งใหม่ก็ยังได้แน่เนื่องจากมีนโยบายประชานิยม และการตรวจสอบก็ค่อยหายไป ฉะนั้นต้องหันกลับมาดูในเรื่องนี้กันให้มาก เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญและส่งผลถึงอนาคตด้วย