มติที่ประชุมกรอ. เพิ่มขีดความสามารถและเชื่อมโยงโลจิสติกส์ลงสู่ภาคใต้
วันนี้ (19 พ.ค. 55) เวลา 17.00 น. ณ ห้องประชุมไพลิน ชั้น 3 อาคาร 9 สานักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.) ครั้งที่ 4/2555 เพื่อพิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ซึ่งภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้องแถลงผลการประชุม สรุปสาระสำคัญดังนี้
ที่ประชุมเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ดังนี้
1. สรุปโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย โดยมีสาระสำคัญดังนี้
- รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณากลไกในการขับเคลื่อนการพัฒนาเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางให้บริการโลจิสติกส์ในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีกาญจนบุรีเป็นแกนหลัก
- ระยะที่ 1 ปี 2554-2558 ครอบคลุมท่าเรือด้านใต้ ซึ่งเป็นท่าเรือน้ำลึก ถนนเชื่อมโยงทวาย-ชายแดนไทย/พม่า 4 ช่องจราจร รวมทั้งการพัฒนาบริเวณด่านพรมแดนถนนเชื่อมโยงสนามบินทวายและพื้นที่ส่วนราชการแบบเบ็ดเสร็จและ Township
- ในระยะต่อไป เป็นการดำเนินการในระยะที่ 2 ปี ในช่วงปี 2556-2561 จะดำเนินการให้ครอบคลุมถนนในเขตนิคมฯ เพิ่มเติม เชื่อมโยงชายแดนไทย/พม่า เป็น 8 ช่องทาง รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่น รถไฟ ท่อน้ำมัน เป็นต้น ซึ่งต้องมีการศึกษาในรายละเอียด
- ทั้งนี้ การดำเนินโครงการฯ จะต้องเร่งเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน สนับสนับภาคเอกชนไทยกับพม่าร่วมกันสร้างโอกาสในการพัฒนา และการยกระดับความช่วยเหลือระหว่างไทยกับพม่า
- หน่วยงานต่างๆ จะต้องวางแผนดำเนินการให้รองรับกับการพัฒนาของโครงการทวาย เช่น โครงข่ายถนนฝั่งไทย และโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนต่างๆ ในทุกจังหวัดที่อยู่เส้นทางเชื่อมโยง รวมถึงพิจารณาแม่แบบการลงทุนที่เหมาะสมทั้งส่วนที่เป็นภาครัฐ ภาคเอกชน หรือการร่วมลงทุน
ที่ประชุมมีมติ มอบหมาย สศช. เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำแผนแม่บทพัฒนาความเชื่อมโยงของประเทศไทยกับท่าน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย โดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2. การเร่งรัดการพัฒนาเส้นทางเชื่อมโยงภาคตะวันตก
ประกอบด้วย (1) เร่งรัดโครงการก่อสร้างทางมอเตอร์เวย์ หมายเลข 81 เส้นทาง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี-บ้านห้วยตลุง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี (2) ผลักดันโครงการก่อสร้างถนนมอเตอร์เวย์ (ช่วงที่ 2) เส้นทางบ้านห้วยตลุง อ.ท่าม่วง-บ้านพุน้ำร้อน อ.เมือง จ.กาญจนบุรี (3) ผลักดันโครงการขยายถนนเป็น 4 ช่องจราจรจากบ้านพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี -หมายเลข 3208 บรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 (เพชรเกษม) จ.ราชบุรี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและเชื่อมโยงโลจิสติกส์ลงสู่ภาคใต้
ที่ประชุมมีมติมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งเพื่อรองรับการพัฒนาท่าเรือทวายและการเปิดด่านบ้านพุน้ำร้อน พร้อมทั้งจัดลำดับความสำคัญของสายทางหลักและสายทางรอง และเสนอให้ ครม. พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
3. การเตรียมความพร้อมรองรับการพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย และการเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจ Southern Economic Corridor (SEC)
ประกอบด้วย (1) ผลักดันให้มีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ (หรือเขตอุตสาหกรรม) บ้านพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี (2) เร่งรัดยกระดับด่านชั่วคราวบ้านพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี เป็นด่านถาวร โดยในเบื้องต้นเฉพาะวันจันทร์ พุธ และศุกร์
ที่ประชุมมีมติ
1) มอบหมายกระทรวงต่างประเทศ เป็นหน่วยงานหลัก รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับด่านพรมแดนระหว่างไทย-เมียนมาร์ และร่วมกับ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อประสานงานกับทางการของเมียนมาร์ในการเร่งรัดการเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราว และเจรจาเพื่อขอเปิดจุดผ่านแดนบ้านพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี ถาวรต่อไป
2) มอบหมายกระทรวงการคลัง เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมเพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายคน และสินค้าข้ามแดนและผ่านแดนให้มีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาออกแบบโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง จัดระบบบริหารจัดการและตรวจปล่อยคนและสินค้า รวมถึงบูรณาการระบบเอกสารและกระบวนการให้บริการให้สอดคล้องกับระบบ National Single Window
3) มอบหมายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษาขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรไทย เพื่อเตรียมความพร้อมในการแข่งขันกับสินค้าเกษตรเมียนมาร์
4. การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการค้าชายแดนและการค้าข้ามแดน ไทย-พม่า
ประกอบด้วย (1)ยกระดับด่านชั่วคราวพระเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี เป็นด่านถาวร (2) ยกระดับด่านสิงขร จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นด่านถาวร (3) เปิดจุดผ่อนปรนบ้านตะโกบน (กะลาโท่) บ้านตะโกล่าง ต.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี
ที่ประชุมมีมติ
1) รับทราบแนวทางการดำเนินงานของกองกำลังสุรสีห์ กระทรวงกลาโหม ในการแก้ไขปัญหาร่วมกับเมียนมาร์เพื่อให้มีการเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวพระเจดีย์สามองค์ และเมื่อทั้งสองฝ่ายมีความพร้อม เห็นควรส่งเรื่องให้ สมช. พิจารณาความเหมาะสมในการยกระดับเป็นจุดผ่านแดนถาวรต่อไป
2) มอบหมายกระทรวงการต่างประเทศ เร่งดำเนินการประสานเมียนมาร์ เพื่อร่วมดำเนินการจัดเก็บรายละเอียดสภาพภูมิประเทศ (Joint Detail Survey) ด่านสิงขร อ.เมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้แล้วเสร็จ
3) มอบหมายกระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ติดตามและประเมินสถานการณ์การพัฒนาในเมียนมาร์ ทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง และหากเห็นสมควรให้มีการเปิดจุดผ่อนปรนการค้าตะโกบนให้ดำเนินการตามระเบียบและขั้นตอนต่อไป
5. โครงการลดการสูญเสียในวงจรการผลิต โดยขอการสนับสนุนงบประมาณ (ผ่านกระทรวงแรงงานและกระทรวงอุตสาหกรรม) เพื่อว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาทำโรงงานนำร่องใน 8 จังหวัดกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 และ 2 เพื่อลดการสูญเสียในกระบวนการผลิตให้ใช้ได้จริง ที่ประชุมมีมติมอบหมายกระทรวงแรงงาน ร่วมกับ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพลังงาน นำข้อเสนอของ กกร. ไปดำเนินการต่อไป
6. โครงการบริหารจัดการพลังงานแบบบูรณาการเพื่อลดต้นทุนและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน หรือพลังงานชีวมวล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในโรงงานอุตสาหกรรม
ที่ประชุมมีมติ มอบหมายกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับกระทรวงพลังงาน รับไปพิจารณาดำเนินการ
7. การส่งเสริมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง
ประกอบด้วย (1) โครงการปรับปรุงระบบนิเวศน์คลองดำเนินสะดวก และคลองสาขา จ.ราชบุรี-สมุทรสาคร-สมุทรสงคราม (2) โครงการนำร่องสู่อุตสาหกรรมเชิงนิเวศในพื้นที่ภาคกลางตอนล่าง (3) การพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการของแม่น้ำท่าจีนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1
ที่ประชุมมีมติมอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อเสนอโครงการปรับปรุงระบบนิเวศและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างบูรณาการแม่น้ำท่าจีนฯ ไปพิจารณารายละเอียดแล้วนำเสนอ กบอ พิจารณาเพื่อขอรับการสนับสนุนเพื่อดำเนินการต่อไป
ที่ประชุมเห็นชอบตามข้อเสนอของสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ดังนี้
1. โครงการถนนท่องเที่ยวเลียบชายฝั่งทะเลอ่าวไทย จ.สมุทรสาคร-จ.สมุทรสงคราม (Royal Coast Road) ที่ประชุมมีมติมอบหมายกระทรวงคมนาคม รับไปพิจารณาในรายละเอียดและความเหมาะสมโครงการฯ เพื่อประกอบการพิจารณาขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
2. การประกาศเขตพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองหัวหินและพื้นที่เชื่อมโยง (ชะอำและปราณบุรี)
ที่ประชุมมีมติ มอบหมายกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รับไปพิจารณาความเหมาะสม พร้อมทั้งเตรียมการประกาศเมืองหัวหินและพื้นที่เชื่อมโยง (ชะอำ-ปราณบุรี) ภายในกลุ่มท่องเที่ยว The Royal Coast ให้เป็นเขตพื้นที่พิเศษตามขั้นตอนต่อไป
3. การปรับปรุงอุทยานประวัติศาสตร์สงคราม 9 ทัพ จังหวัดกาญจนบุรีให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชีวิต
ที่ประชุมมีมติมอบหมายกระทรวงกลาโหม เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณโดยหารือกับกระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาจัดแสดงนิทรรศการต่อไป
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้พิจารณาการปรับกลไกและกระบวนการบริหารจัดการด้าน Climate Change ของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยที่ประชุมมีมติมอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับไปพิจารณาดำเนินการ
ทั้งนี้ มติที่ประชุม กรอ. จะนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันพรุ่งนี้ (20 พ.ค. 55) ต่อไป