บทความ...ปฎิรูปการศึกษาไทยต้องกระจายคุณภาพอย่างทั่วถึง โดย ดร.ดิลกะ ลัทธพิพัฒน์
ปฎิรูปการศึกษาไทยต้องกระจายคุณภาพอย่างทั่วถึง
โดย ดร.ดิลกะ ลัทธพิพัฒน์
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
งานวิจัยเรื่องการศึกษาของประเทศไทยในระยะหลังเริ่มเล็งเห็นมูลเหตุของความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในการเข้าถึงอุดมศึกษา โดยเฉพาะในระดับปริญญาตรี ว่าไม่ได้เกิดขึ้นจากการขาดแคลนปัจจัยระยะสั้น เช่นการขาดแคลนเงินทุน เพียงอย่างเดียว แต่ต้นเหตุสำคัญเกิดจากความเหลื่อมล้ำทางปัจจัยระยะยาวที่รวมถึงคุณภาพของภูมิหลังทางครอบครัว และคุณภาพการศึกษาที่ได้รับตั้งแต่วัยเด็ก ปัจจัยระยะยาวเหล่านี้มีความสำคัญในการกำหนดความพร้อมในการเข้าเรียนต่อระดับอุดมศึกษา
ความเหลื่อมล้ำทางความสามารถทางวิชาการระหว่างเด็กที่มาจากภูมิหลังของครอบครัวที่แตกต่างกันมีอยู่สูงมากในประเทศไทย ดังที่เห็นได้จากรูปที่ 1 ซึ่งแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนสอบ Programme for International Student Assessment (PISA) ในรอบปี 2006 ในวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์เฉลี่ยของโรงเรียน กับค่าเฉลี่ยดัชนี Economic, Social and Cultural Status (ESCS) ในระดับโรงเรียน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสถานะทางการงาน การศึกษาของพ่อแม่ ฐานะทางเศรษฐกิจ ทรัพยากรด้านการศึกษา และวัฒนธรรมของครอบครัวของเด็กนักเรียน
รูปที่ 1
ความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนเฉลี่ย PISA 2006 ในระดับโรงเรียน
กับภูมิหลังทางสังคม (ESCS*) ของกลุ่มนักเรียนไทยอายุ 15 ปี
* ดัชนี ESCS (economic, social and cultural status) วัดสถานะทางการงาน การศึกษาของพ่อแม่
ฐานะทางเศรษฐกิจ ทรัพยากรด้านการศึกษา และวัฒนธรรมของครอบครัว
ปัญหาหลักที่ประเทศไทยต้องเร่งแก้ไขคือการยกระดับคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างทั่วถึง ซึ่งปัจจุบันกำลังประสบปัญหาด้านคุณภาพอย่างรุนแรง ดังที่สะท้อนให้เห็นจากคะแนนสอบที่ตกต่ำของเด็กไทยในการทดสอบในระดับนานาชาติเช่น PISA และ Trends in International Mathematics and Science Study (TIMSS) การปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่นั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินไปอย่างถูกทิศทางบนพื้นฐานของข้อมูล และหลักฐานทางวิชาการ เป้าหมายของงานวิจัยชิ้นนี้คือการนำเอาข้อมูลจากการสำรวจของ PISA ซึ่งเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้ และใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ มาใช้ในการวิเคราะห์เพื่อตอบคำถามสำคัญทางนโยบายว่า โครงสร้างการบริการจัดการระบบการศึกษาที่ก่อให้เกิดคุณภาพ โดยวัดจากผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียน จะต้องมีปัจจัยอะไรบ้าง และกลยุทธในการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ในบริบทของประเทศไทยควรจะเป็นอย่างไร โดยเน้นที่เรื่องกลไกความรับผิดรับชอบที่ผูกกับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน (accountability) และความมีอิสระในการบริหารจัดการของโรงเรียนในเรื่องหลักสูตร และงบประมาณ (autonomy) เป็นประเด็นหลัก
ในส่วนของการปฏิรูปทางด้านการกระจายอำนาจการบริหารสู่โรงเรียน ซึ่งเป็นนโยบายที่ได้รับการถกเถียงกันอย่างมากในระดับนานาชาติ เหตุผลสนับสนุนของนโยบายนี้คือ ผู้บริหารโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ย่อมจะเข้าใจในลักษณะเฉพาะของนักเรียน และโรงเรียนของตนมากกว่าองค์กรส่วนกลางของภาครัฐ ซึ่งความมีอิสระทำให้การจัดสรรทรัพยากรเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เหตุผลโต้ตอบของนโยบายนี้คือผู้บริหารอาจใช้ความมีอิสระในการแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเอง และพวกพ้อง โดยไม่ได้คำนึงถึงคุณภาพการศึกษาที่เด็กนักเรียนได้รับเป็นเป้าหมายสำคัญ หลักฐานทางวิชาการในต่างประเทศก็ยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งเป็นผลให้หลายประเทศดำเนินการปฏิรูปใปในทิศทางที่แตกต่างกัน โดยบางประเทศเลือกที่จะกระจายอำนาจการบริหารจัดการทรัพยากร หรือการกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนสู่โรงเรียนและท้องถิ่น ในขณะที่บางประเทศเดินไปในทิศทางตรงกันข้ามโดยดึงอำนาจกลับสู่ส่วนกลาง
ผลการวิจัยพบว่าการเพิ่มแรงกดดันโดยการกำหนดให้โรงเรียนต้องเปิดเผยข้อมูลผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนต่อสาธารณะ เพื่อให้ผู้ปกครอง และผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆสามารถตรวจสอบได้ง่ายนั้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพ (วัดด้วยคะแนนเฉลี่ย) ของโรงเรียนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และผลกระทบจะมีสูงกว่าในกลุ่มโรงเรียนที่มีประสิทธิภาพต่ำ
การศึกษานี้พบหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สำคัญว่า ความมีอิสระในการบริหารงบประมาณไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันความสำเร็จในการเพิ่มประสิทธิภาพของโรงเรียน การกระจายอำนาจจะประสบความสำเร็จได้ต่อเมื่อโรงเรียนมีความพร้อมในเรื่องกลไกความรับผิดชอบที่เข้มแข็งเสียก่อน ไม่เช่นนั้นการกระจายอำนาจจะก่อให้เกิดผลเสียต่อประสิทธิภาพของโรงเรียนมากกว่าผลดี ในส่วนของการกำหนดหลักสูตร เราพบว่าการกระจายอำนาจจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโรงเรียนที่มีคะแนนสอบเฉลี่ยอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้เรายังพบอีกด้วยว่าผลกระทบในทางบวกจะมีมากขึ้นในกรณีที่มีองค์กรส่วนกลางคอยติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง
สำหรับประเด็นสุดท้าย ซึ่งเป็นประเด็นที่เราพบว่ามีผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพของโรงเรียน และมีนัยสำคัญทางสถิติมากที่สุด คือการปฏิรูประบบการประเมิน และการให้ผลตอบแทนความดีความชอบของครูใหญ่ที่ผูกโยงกับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของเด็กนักเรียน เราพบว่าการปฏิรูประบบแรงจูงใจนี้จะประสบผลสำเร็จมากที่สุดภายใต้กลไกการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องจากผู้ปกครองส่วนใหญ่ในการตรวจสอบคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน
ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าการปฏิรูปการศึกษาจะประสบความสำเร็จได้ จะต้องได้รับความร่วมมือจากผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้ปกครอง การปฏิรูปต้องเริ่มต้นที่ข้อมูล โดยจะต้องมีระบบการสอบไล่มาตรฐานที่วัดความสามารถของนักเรียนได้จริงในหลายระดับชั้น ผลการสอบจะต้องมีความหมายทั้งสำหรับนักเรียนและครู และจะต้องมีการเปิดเผยข้อมูลผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนต่อสาธารณะ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และเพื่อเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบโรงเรียนสำหรับผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้ปกครอง และองค์กรในท้องถิ่น ซึ่งจะต้องติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์อย่างต่อเนื่อง และมีช่องทางในการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพกับครูและครูใหญ่ และที่สำคัญที่สุดจะต้องมีกลไกที่ผู้มีส่วนได้เสียจะมีส่วนร่วมในการประเมิน และให้คุณให้โทษต่อครูและผู้บริหารโรงเรียน โดยผูกการประเมินกับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียนเป็นหลัก และเมื่อโรงเรียนมีระบบตรวจสอบและกลไกความรับผิดชอบที่ดีแล้ว การปฏิรูปการกระจายอำนาจการบริหารสู่โรงเรียนจึงจะส่งผลดีต่อการพัฒนาคุณภาพทางวิชาการของนักเรียนเพิ่มขึ้นได้
** บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสัมมนาวิชาการประจำปีของทีดีอาร์ไอ เรื่อง “ยกเครื่องการศึกษาไทย : สู่การศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง” วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 ณ ห้องบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ บี ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ฯเซ็นทรัลเวิลด์