จ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชาสูงถึง 25% 'สุรินทร์' ย้ำชัดบั่นทอนขีดแข่งขันไทย

เลขาฯอาเซียน เผยทุจริตบั่นทอนขีดสามารถแข่งขันไทยในเวทีอาเซียน เผยต่างชาติขอใบอนุญาต เสียค่าน้้ำชาสูงถึง 25% แนะไทยโปร่งใส เหมือนปลาในอ่างแก้ว รีบสร้างภูมิคุ้มกันต้านคอร์รัปชั่น ปฏิบัติตามหลักสากล
วันที่ 19 กรกฎาคม ผู้เข้าร่วมอบรมหลักสูตรนักบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามการทุจริตระดับสูง (นยปส.) รุ่นที่ 3 สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จัดโครงการเสวนาเรื่อง “ปัญหาการทุจริตให้สินบนที่มีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของไทยในอาเซียน: ศึกษาบทบาทภาคเอกชนในการต่อต้านการทุจริต” ณ โรงแรมแอมบาสเดอร์ สุขุมวิท 11 กรุงเทพฯ
ศ.พิเศษวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งถึงการทุจริตถือมะเร็งร้ายและเป็นปัญหาใหญ่ที่ทั่วโลกประสบพบเจอ ขณะที่ประเทศไทยในปัจจุบันพบปัญหาการให้สินบนรุนแรงเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ และถึงแม้ว่าจะมีหน่วยงานรับผิดชอบ มีการแก้ไขกฎหมาย เพิ่มบทลงโทษ แต่ปัญหาก็ยังคงมีอยู่
“การต่อต้านทุจริตจึงต้องร่วมกันทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ตลอดจนห้างร้านของเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขัน ภาวะแรงจูงใจในการลงทุนที่มีมากขึ้น”
ขณะที่ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน กล่าวปาฐกถาพิเศษ “ปัญหาการทุจริตให้สินบนที่มีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของไทยในอาเซียน” ตอนหนึ่งว่า อาเซียนถือเป็นมรดกของไทย เนื่องจากเป็นผู้ริเริ่มให้แรงบันดาลใจในเรื่องนี้ แต่เมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 แล้ว ประเทศไทยจะสามารถดำรงการเป็นผู้นำ หัวหอกในการขับเคลื่อนกระบวนการอาเซียนที่ขยายวงมากขึ้นได้หรือไม่ และจะมีความสามารถในการแข่งขัน ประคองตัวเป็นแหล่งลงทุน แหล่งผลิตสินค้า แหล่งท่องเที่ยว เป็นฮับ (hub) ด้านต่างๆ ได้อยู่หรือไม่ เพราะสิ่งหนึ่งที่บั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของไทยคือ ปัญหาค่าน้ำชาในการขอใบอนุญาตต่างๆ ที่พบว่ามีการรั่วไหลถึง 20%-25%
“ในอดีตเมื่อประมาณ 40-50 ปีที่แล้วต่างประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น ไต้หวัน สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากมีทรัพยากร แรงงาน และไม่มีค่าใช้จ่ายเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ปัจจุบันบริบทต่างๆ ได้เปลี่ยนไป การลงทุนของต่างประเทศต้องการความเป็นสากล ตรงไปตรงมา โปร่งใส่ เคารพในกฎเกณฑ์ ซึ่งประเทศไทยก็ต้องปฏิบัติตามนั้น เป็นปลาในอ่างแก้วที่ใครก็เห็นทะลุ จะตอด กัด ว่ายไปไหน ครีบสีอะไร ทุกคนเห็นหมด”
คอร์รัปชั่นบ้างไม่เป็นไร ค่านิยมที่ผิดๆ
ดร.สุรินทร์ กล่าวต่อว่า สำหรับการลงทุนของต่างประเทศที่เข้ามาในอาเซียนเมื่อปี 2554 มีมูลค่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย 75% เป็นการลงทุนในภาคของบริการ เป็นผลจากการที่คนในอาเซียนมีกำลังซื้อมากขึ้น ชนชั้นกลางกำลังขยายตัว ทำให้ต้องการคุณภาพชีวิต การศึกษา การแพทย์ที่ดี
“ถ้าเปรียบอาเซียน เป็นประเทศจะพบว่าร่ำรวยเป็นอันดับ 9 ของโลก ขณะที่จีดีพีของ 10 ประเทศสมาชิกรวมกันมีมูลค่า 2.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตรงนี้จึงทำให้ทุนต่างประเทศเข้ามามองหาช่องทางธุรกิจ แต่อย่างไรก็ตามก่อนที่ต่างประเทศจะตัดสินใจลงทุน จะมีการตรวจสอบอย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะไม่เป็นการเข้ามารับภาระหนี้ที่ไม่ได้ปรากฏในบัญชี รวมทั้งจะไม่ได้ถูกวัฒนธรรมการคอร์รัปชั่น (culture of corruption) บั่นทอนการดำเนินธุรกิจ"
ดร.สุรินทร์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันค่าใช้จ่ายในการลงทุนทำธุรกิจของประเทศไทยสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เห็นได้จากเมืองไทยมีความเชื่อมั่นให้กับประชาคมโลกในเรื่องความโปร่งใสอยู่ในอันดับท้ายๆ 10 คะแนนเต็ม ไทยได้ 3.5 คะแนน ไม่ถึงครึ่ง ซึ่งย้ำอีกครั้งว่าตรงนี้เป็นอุปสรรค ฉะนั้น ในแง่จริยธรรมศีลธรรม การต่อสู้ รณรงค์ ทำสงครามต่อต้านคอร์รัปชั่น จึงเป็นเรื่องนี้ทุกคนต้องยอมรับและตระหนัก โดยภาครัฐผู้กำหนดดูแลนโยบาย การให้ใบอนุญาต ใบประกอบการลงทุนต้องโปร่งใส ขณะเดียวกันต้องมีการรณรงค์ เพื่อสร้างวัคซีน ป้องกันป้องปรามเรื่องการทุจริต เพราะการต่อสู้เรื่องนี้ภาคประชาสังคมเป็นส่วนสำคัญ
“กรณีที่มีการระบุคอร์รัปชั่นบ้างไม่เป็นไร ถ้าประชาชนได้ประโยชน์ เป็นวัฒนธรรมที่กัดกร่อน สร้างค่านิยมผิดๆ ในระดับล่าง เป็นการหยิบยื่นผลตอบแทนแบบกระปิดกระปอย มีปัญหาจัดโต๊ะจีนเลี้ยงก็แก้ได้ ทั้งที่การคอร์รัปชั่นทำให้ระบบอ่อนแอ ไม่ใช่นโยบายที่ยั่งยืน ถูกต้องโปร่งใส และในระยะยาว จะทำให้ประเทศไทยติดกับดักของประเทศที่มีรายได้ระดับกลาง (middle-income trap) ฉะนั้นเห็นว่านอกจากปราบปราม ตรวจสอบแล้ว ประเทศไทยต้องคิดไปถึงเรื่องการป้อมปราม โดยเน้นสร้างภูมิคุ้มกันให้กับคนไทย ไม่ยอมรับ ไม่ยอมจำนนต่อการทุจริตคอร์รัปชั่น
อย่างไรก็ตาม เลขาธิการอาเซียน กล่าวถึงความสามารถในการแข่งขันของอาเซียนกับประเทศทั่วโลกด้วยว่า การที่ อาเซียนจะแข่งขันกับคนอื่นทั่วโลกได้ต้องแน่ใจ (make sure) ว่าบ้านของตนเองเคลียร์ เพราะขณะนี้ใน 10 ประเทศสมาชิกมีบรูไนและอินโดนีเซียเท่านั้นที่พอจะเชิดหน้าชูตาอาเซียนได้ นอกจากนั้นยังคงมีปัญหาอยู่
