ภคต. จี้รัฐเปิดเผยราคากลาง-ดันผู้เชี่ยวชาญร่วมตรวจสอบโครงการน้ำท่วม

ต่อตระกูล เผย รายงานงบฯ 3.5 แสนล้านสั้นมาก มีเพียง 20 บรรทัด ชี้บางโครงการไม่เกี่ยวน้ำท่วม เน้นจับตา 5 หน่วยงานเฝ้าระวังทุจริตเกี่ยวกับการก่อสร้าง
วันที่ 28 มีนาคม ภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น (ภคต.) จัดเสวนาโต๊ะกลมเรื่อง "เฝ้าระวัง โครงการแก้ปัญหาป้องกันน้ำท่วม" โดยมีนายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม ประธานกรรมการส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย นายวิชัย อัศรัสกร กรรมการเลขาธิการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ นางสาวรสนา โตสิตระกูล ประธานคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้อง ร่วมสัมมนา ณ อาคารจุลินทร์ ล่ำซำ หอการค้าไทย
นายประมนต์ แถลงถึงข้อสรุปหลังการอภิปรายว่า ที่ประชุมเห็นพ้องให้เดินหน้าโครงการหมาเฝ้าบ้าน (Watch Dog) เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบและผลักดันให้รัฐบาลดำเนินโครงการแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส โดย ภคต. จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางเครือข่ายรับข้อมูลทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่นแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อเป็นข้อมูลในการติดตามตรวจสอบ พร้อมทั้งจะประสานกับสื่อมวลชนในการเผยแพร่ เกาะติดการดำเนินการของหน่วยงานราชการ
“ในส่วนที่ทาง ภตค.และภาคเอกชนจะดำเนินการ คือเป็นศูนย์กลางเครือข่ายเพื่อเผยแพร่ข้อมูล ผ่านเว็บไซต์ของ ภคต. และสมาชิก เพื่อเป็นข้อมูลให้ประชาชนได้รับทราบว่ามีโครงการอะไรบ้างและใช้งบประมาณเท่าไหร่ รวมทั้งให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการตรวจสอบลักษณะของโครงการ เช่น การขุดลอกถนน การสร้างเขื่อน การทำแนวกั้นน้ำว่ามีปัญหาหรือมีการดำเนินการจริงหรือไม่”
นายประมนต์ กล่าวถึงอาสาสมัครจากโครงการหมาเฝ้าบ้าน ต้องอาศัยความชำนาญพิเศษ โดยร่วมมือกับสมาคมวิชาชีพ อุตสาหกรรมก่อสร้างไทยและสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย เข้ามาช่วยตรวจสอบและติดตามการดำเนินการโครงการ จะมีการตั้งหน่วยงานพิเศษร่วมกับภาคเอกชนและรัฐบาลที่เกี่ยวข้องในเรื่องการเฝ้าระวังโครงการน้ำท่วมด้วย ซึ่งทาง สตง.ได้จัดให้มีทีมพิเศษ ที่มีผู้เชี่ยวชาญและผู้มีความรู้ในการตรวจสอบให้ความร่วมมือและสนับสนุน เพื่อให้โครงการของทางรัฐบาลบรรลุตามวัตถุประสงค์ ประหยัด และคุ้มค่า
นอกจากนี้ ประธาน ภคต. กล่าวด้วยว่า เพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างมีความโปร่งใส ทาง ภคต. มีการดำเนินการที่จะเสนอให้กับรัฐบาลนั้น ดังนี้
-การกำหนดราคากลาง ภคต. จะเสนอให้มีคนนอกหรือคนกลางที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาชีพ เช่น วิศกรโยธา เข้าร่วมกำหนดราคากลางเพื่อให้เป็นราคามาตรฐาน
-ในการเสนอโครงการ จะมีการตรวจสอบ Supplier หรือผู้รับเหมา ว่ามีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่ ในการรับงานโครงการ เพื่อให้มีความเข้มข้นมากขึ้น
-ผลักดันให้มีการเปิดเผยราคากลางต่อสาธารณชน ภคต. จะช่วยเพิ่มช่องทางในการประกาศราคากลางผ่านเว็บไซต์ของภาคีฯ และหน่วยงานร่วม
-การตรวจรับงาน เสนอให้มีคนนอกหรือผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วมในการตรวจรับงานด้วย
-หาวิธีการให้ความรู้กับภาคประชาชน องค์กรวิชาชีพให้มีความรู้ในการตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ
ด้านนายต่อตระกูล ยมนาค กล่าวว่า โครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐโดยเฉพาะโครงการน้ำท่วมนั้นควรให้ความสนใจและติดตามการใช้งบประมาณ ซึ่งในที่ประชุม มีการให้ข้อมูลว่า รายงานการของบประมาณ 3.5 แสนล้านบาทของทางรัฐบาลนั้นมีเพียง 20 บรรทัด หากคิดเล่นๆก็คิดบรรทัดละ 7.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นรายงานการของบประมาณที่สั้นที่สุด
“ข้อมูลของโครงการมีเพียง 3 หน้า และยังไม่มีรายละเอียด ทั้งนี้ที่น่าเป็นห่วงคือมีบางโครงการที่ไม่เกี่ยวกับน้ำท่วม โดยทราบว่าในโครงการที่เสนอไว้ในวงเงิน 3.5 แสนล้านบาทมีการวงเล็บไว้ด้วยว่า ไม่ได้เป็นงานป้องกันน้ำท่วมแต่เป็นโครงการที่สร้างเสริมเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการใช้คำที่กว้างมาก”
นายต่อตระกูล กล่าวต่อว่า ตนได้นำเสนอรายงานวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาปริญญาโทด้านการบริหารงานก่อสร้าง มหาวิทยาลัยศรีปทุม โดยพบว่ากระบวนการจัดซื้อจัดจ้างผ่านระบบอินเตอร์เน็ต หรือ อีอ๊อกชั่น ในการก่อสร้างนั้นผู้ที่มาประมูลความจริงแล้วไม่มีการแข่งขัน โดยเกือบทุกโครงการมีผู้เข้าประมูลเพียง 2 คนและเฉือนกันแค่ 500 บาทในโครงการที่มีมูลค่า สิบล้าน ซึ่งหากทำให้ถูกต้อง มีการประมูลแข่งขันกันจริง จะสามารถประหยัดเงินได้ 50,000 – 100,000 บาท
“จุดอ่อนของอีอ๊อกชั่นคือการเคาะราคา แต่จุดอื่นนั้นถือว่าดีมาก เพราะหากได้ไปไล่ดูข้อมูลจะพบว่าในช่วงเวลา 6 ปี มีโครงการประมาณ 7 หมื่นโครงการในขณะที่มีชื่อผู้รับเหมาเพียงไม่กี่ราย และจะวนเวียนกันไป รวมทั้งมีการกีดขวางไม่ให้ผู้อื่นได้เข้ามาประมูลด้วย ซึ่งถือว่าการทุจริตนั้นเข้าขั้นวิกฤต คือใครโกงได้ก็โกง โดยโกงมาตั้งแต่ระดับข้าราชการ ฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือต้องให้โปร่งใส และทุกคนรับรู้ข้อมูลร่วมกัน”
นายต่อตระกูลกล่าวด้วยว่า จากงานวิจัยพบอีกว่าหน่วยงานที่ต้องเฝ้าระวังคือหน่วยงานที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง 5 หน่วย ซึ่งเป็นหน่วยที่ต้องรับงบประมาณในส่วนของ 3.5 แสนล้านบาทด้วย แต่ทั้งนี้ หน่วยงานเหล่านี้ก็ได้อยู่ในการเฝ้าระวังของ ป.ป.ช.อยู่แล้ว โดยขณะนี้มีดัชนีวัดความโปร่งใสของภาครัฐ ซึ่งจัดทำขึ้นโดย ป.ป.ช. ในปี 2554 ซึ่งแต่ละหน่วยงานต้องทำการประเมินตนเองและให้ผู้อื่นประเมินว่าได้ทำโครงการอย่างโปร่งใสมากน้อยแค่ไหน
“นอกจากมีหมาเฝ้าบ้านแล้ว ต้องมีไว้สำหรับดมกลิ่นด้วย เนื่องจากบ้านที่ต้องเฝ้านั้นมีเยอะมาก ฉะนั้นอาจต้องมีกระบวนการสำหรับนิสิต นักศึกษา และอาจารย์ได้ช่วยกันดูและหาข้อมูล ทั้งนี้ไม่ได้เพื่อจับผิดการทำงานแต่เป็นในลักษณะของแฟนคลับมากกว่า คือสนับสนุนผลงานที่ดีและมีประโยชน์”
ส่วนนายกฤษฎา จันทร์จำรัสแสง เลขาธิการสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย กล่าวว่า ทางสมาคมต้องการร่วมมือกับภาคีเครือข่ายเพื่อช่วยไม่ให้เกิดการคอร์รัปชั่น และยังได้ส่งผู้รู้มาช่วยในการจับตาการคอร์รัปชั่นด้วย ทั้งนี้จะเฝ้าดูอย่างเดียวไม่ได้ ต้องไล่กัดด้วย โดยให้ผู้รู้และเชี่ยวชาญเข้าไปตรวจสอบ เพื่อให้คนดีได้อยู่ในสังคมต่อไป ไม่ใช่เป็นแกะดำ
