ทีดีอาร์ไอ ชี้การศึกษาไทย มุ่งผลิตคนให้เป็นลูกจ้าง

ศธ.แสดงศักยภาพจัดงานใหญ่ “อนาคตการศึกษาไทย” เตรียมความพร้อมสู่อาเซียน ยันแท็บเล็ตช่วยพัฒนาการศึกษา เล็งแจก ม.1 เพิ่ม ผุดนโยบายยกระดับประชาชนจบ ม.6
วันที่ 6 มีนาคม กระทรวงศึกษาธิการจัดงาน “อนาคตการศึกษาไทย” ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมี นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า ยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2555-2558 ได้จัดการศึกษาโดย “ยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลาง” มุ่งกระจายโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมทั้งในเมืองและชนบท พร้อมจัดการศึกษาที่มีคุณภาพสำหรับทุกคน
นายสุชาติ กล่าวถึงนโยบายการใช้เทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาการศึกษาว่า แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์พกพาแก่นักเรียนชั้น ป.1 ทำหน้าที่เป็นครูอีกหนึ่งคนให้กับเด็ก โดยจะเป็นครูที่เด็กสามารถพบเจอได้ตลอดเวลา และสามารถเรียนรู้ได้ทุกสาขาวิชา โดยขณะนี้มีแนวคิดจะแจกเพิ่มให้กับนักเรียนชั้น ม.1 ด้วย นอกจากนี้ยังมีนโยบายสำหรับผู้ใหญ่ที่เรียนไม่จบชั้น ม.6 สามารถที่กลับมาเรียนให้จบชั้น ม.6 ได้ ในระยะเวลา 8 เดือน และสามารถที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เพื่อเป็นการยกระดับประชาชน โดยจะมีการเริ่มโครงการเร็วๆนี้
“ต่อจากนี้ระบบการศึกษาไทยจะต้องโปร่งใส ไม่มีการฝากเด็กเข้าโรงเรียน ไม่มีการรับโยกย้าย หรือวิ่งเต้นเพื่อเลื่อนตำแหน่ง เพราะหากเกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้นความยุติธรรมจะไม่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ในแต่ละท้องที่สามารถเสนอได้ว่าจะให้มีการจัดการดูแลในแต่ละพื้นที่อย่างไรได้ โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง โดยให้ผู้ที่มีชื่อเสียงด้านคุณธรรมในแต่ละพื้นที่เข้ามาเป็นคณะกรรมการด้วย เพื่อให้เกิดคุณธรรม” รมว. กระทรวงศึกษาธิการ กล่าว และว่า สำหรับนโยบาย 1 ทุน 1 อำเภอ ด้วยว่า จะมีการเปิดกว้างมากขึ้น เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่สูงขึ้น โดยจะให้สามารถสมัครได้หมู่บ้านละร้อยคน และให้ทุนได้ 1 คน เพื่อส่งไปเรียนต่อต่างประเทศและเป็นอนาคตของประเทศต่อไป
จากนั้นมีการประชุมปฏิบัติการและสัมมนาเรื่อง “การจัดการศึกษาไทยสอดคล้องกับตลาดแรงงานเพียงใด” โดยดร.นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (TDRI) กล่าวถึง “ศักยภาพของแรงงานไทย” ว่า ตลอดเวลา 50 ปีที่ผ่านมาการศึกษาส่งผลให้คนไทยอยู่ดีกินดี มีรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้น 11 เท่า ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากการคุณภาพการศึกษา แต่ปัจจุบัน คุณภาพการศึกษาของไทยต่ำลงส่งผลต่อรายได้และการแข่งขันของคน ซึ่งถ้ายังไม่มีการพัฒนาคน ประเทศไทยอาจติดกับดักประเทศกำลังพัฒนา โดยจะเห็นว่า การจัดอันดับทรัพยากรมนุษย์ของ World Economic Forum ของไทยลดลง ทั้งนี้คุณภาพของการศึกษาไทยก็ลดลงจากอันดับที่ 73 มาที่ อันดับ85 ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันลดลงด้วย
“คุณภาพโรงเรียนเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยจากการวิจัยพบว่า สาเหตุที่โรงเรียนมีคุณภาพต่ำเกิดจากโรงเรียนจำนวนมากยังขาดความรับผิดชอบ ได้แก่ การเปิดเผยผลการเรียน การประเมินครูใหญ่โดยผูกกับผลสัมฤทธิ์ การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการตรวจสอบ และการมีหน่วยงานส่วนกลางติดตามผลสัมฤทธิ์ นอกจากนี้ยังขาดอิสระในการกำหนดหลักสูตร และการบริหารงบประมาณ โดยเหล่านี้จะส่งผลให้โรงเรียนไม่มีประสิทธิภาพและขาดคุณภาพในที่สุด ฉะนั้นควรต้องทำให้เกิดระบบความรับผิดชอบที่สั้นลง โดยให้ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น”
ดร.นิพนธ์ กล่าวถึงการที่มหาวิทยาลัยมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่กลับพบว่า คุณภาพของบัณฑิตส่วนใหญ่กลับแย่ลง ทำให้ค่าจ้างแรงงานของกลุ่มคนที่เก่งที่สุดเพิ่มขึ้นเร็วกว่ากลุ่มคนที่อยู่ข้างล่าง ทั้งๆที่จบมหาวิทยาลัยเช่นเดียวกัน นอกจากนี้พบว่าสาขาที่ตลาดต้องการมากที่สุด ได้แก่ วิศวกรรม บริหาร และช่างอุตสาหกรรม กลับเป็นสาขาที่ผู้สำเร็จจากด้านนี้ตกงานมากที่สุด
“อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ไม้และเฟอร์นิเจอร์ ยานยนต์และชิ้นส่วน กำลังมีปัญหาขาดแคลนแรงงาน ซึ่งจากการสำรวจพบว่า แรงงานส่วนใหญ่ขาดทักษะที่เกิดจากการคิด เช่น การใช้ภาษาอังกฤษ และเทคโนโลยี ปัจจุบันตัวเลขการว่างงานแย่มาก สูงขึ้นมาก สะท้อนให้เห็นว่าเกิดความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทาน และหมายถึงอุดมศึกษาไทยผลิตบัณฑิตที่มีลักษณะไม่ตรงกับความต้องการของตลาด"
ทั้งนี้ ดร.นิพนธ์ กล่าวอีกว่า สาเหตุ 3 ประการที่ทำให้การศึกษาผลิตบัณฑิตที่มีทักษะและคุณภาพไม่ตรงกับความต้องการ ได้แก่ 1.อุดมศึกษาของรัฐไม่ต้องรับผิดชอบต่อภาวะมีงานทำของผู้สำเร็จการศึกษา 2.สถาบันศึกษาหลายแห่งยังขาดสมรรถนะ และติดอยู่กับกฎระเบียบ 3.หน่วยงานกำกับสถานศึกษาไม่ต้องรับผิดชอบต่อผู้สำเร็จการศึกษาและผู้ปกครอง และขาดอำนาจจัดสรรงบประมาณ
“การศึกษาปัจจุบันไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการมีงานทำหรือเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ มุ่งแต่ผลิตคนให้เป็นลูกจ้างเพื่อสนองความต้องการของนายจ้างเท่านั้น ซึ่งในอนาคตทักษะที่เป็นที่ต้องการส่วนใหญ่จะไม่ใช่ทักษะสำหรับงานประจำ แต่เป็นทักษะการวิเคราะห์ ในส่วนที่นอกเหนือจากงานประจำพ่วงด้วยทักษะการโต้ตอบปฏิสัมพันธ์ สองทักษะนี้จึงเป็นวาระสำคัญที่ต้องมีเพิ่มขึ้น”
อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวรายงาน ด้วยว่า ในการจัดงาน “อนาคตการศึกษาไทย” ระหว่างวันที่ 6-7 มีนาคม มีการจัดแสดงเพื่อให้เห็นถึงศักยภาพของการศึกษาไทย ที่พร้อมก้าวสู่ประชาคมอาเซียน ผ่านรูปแบบของนิทรรศการของทุกหน่วยในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ โดมีกิจกรรม 9 ส่วนประกอบสำคัญคือ นิทรรศการจัดหาคอมพิวเตอร์แบบพกพา, นิทรรศการ หนึ่งอำเภอ หนึ่งทุน,นิทรรศการ The World ก้าวสู่ประชาคมอาเซียน และประชาคมโลก, นิทรรศการปฏิรูปครู, นิทรรศการยกระดับการศึกษาประชาชนให้จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6, นิทรรศการคุณภาพการศึกษา, นิทรรศการโทรทัศน์และสื่อเพื่อการศึกษา, นิทรรศการศักยภาพการศึกษาไทย ยุทธศาสตร์การจัดการศึกษา และปฏิทินชีวิต, และนิทรรศการศึกษาเพื่ออาชีพ และหลักสูตรเฉพาะทาง
