นพ.ประเวศ แนะรวมพลังหญิง-ชาย สร้างสังคม “สมานุภาพ”
'สมชาย หอมลออ' ระบุความรุนแรงส่วนใหญ่เกิดจากผู้ชาย เชื่อสร้างสันติต้องนำวัฒนธรรมผู้หญิงออกมาใช้ ด้านดร.ปาริชาติ สะท้อนสื่อกำลังผลิตซ้ำทางความคิด ส่งเสริมให้ผู้หญิงอิจฉาริษยา ชิงดีชิงเด่นกัน ลั่นอันตรายสำหรับคนรุ่นใหม่
วันที่ 3 ตุลาคม 2554 ศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการปฏิรูป (คสป.) ปาฐกถา เรื่อง “บทบาทสตรีกับการสร้างสรรค์สังคมสันติสุข” ในงานสัมมนา “ความขัดแย้งในสังคมไทย ยุติได้ด้วยสตรีจริงหรือ?” ณ โรงแรมสยามซิตี้ จัดโดยนักศึกษาปริญญาโท ภาควิชาการจัดการความขัดแย้งแบบบูรณาการ รุ่นที่ 3 หรือ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวตอนหนึ่งถึงพลังอำนาจในสังคมมีอยู่ 3 ชนิด นั่นคือ พลังอำนาจรัฐ พลังอำนาจเงิน และพลังอำนาจทางสังคม ซึ่ง "สตรี" นั้นเป็นหนึ่งในพลังทางสังคมที่มีอิทธิพลเป็นอย่างมาก เพราะธรรมชาติของสตรีถูกสร้างขึ้นมาให้มีอุปนิสัยของความเป็นแม่ ในการดูแล และปกป้อง ฉะนั้นจึงเป็นพลังที่มีอิทธิพลมหาศาลในสังคม สังคมจึงจำเป็นต้องมีพลังของสตรีเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของชาติและโลก
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวว่า ลำพังอำนาจรัฐและอำนาจเงินนั้นไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมได้ แม้ว่าจะมีผู้บริหารประเทศที่มีความสามารถ ก็ยังไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาได้เท่าที่ควร เนื่องจากในสังคมมีความซับซ้อนยากต่อการแก้ไข จึงต้องมีอำนาจทางสังคมเข้ามาช่วยให้เกิดพลัง ช่วยแก้ไขปัญหา โดยเปิดพื้นที่ทางปัญญา พื้นที่ของการแลกเปลี่ยน
"พลังสตรีก็เป็นอีกอำนาจหนึ่งทางสังคม หากสตรีทั่วประเทศมีการรวมตัว และเชื่อมโยงกันทั้งประเทศจะทำให้เกิดเป็นพลังอันมหาศาล ขับเคลื่อนเป็นเครือข่ายสตรีเพื่อช่วยนำสันติภาพมาช่วยยุติความขัดแย้งได้” ประธาน คสป. กล่าว และว่า ดังนั้นเครือข่ายสตรีควรต้องมีการพบปะพูดคุยกัน เพื่อแลกเปลี่ยน และวางยุทธศาสตร์เชิงลึกในการขับเคลื่อนเพื่อลดความขัดแย้งในสังคม“กระบวน การของสตรี เมื่อได้เริ่มทำงานอย่างเป็นระบบ จะช่วยให้บ้านเมืองลงตัว โดยต้องเชื่อมโยงกับบุรุษ ให้เกิดเป็นสังคม “สมานุภาพ” ที่พลังเข้ามาสมานกัน ประเทศของเราก็จะดีขึ้น
ประธาน คสป. กล่าวถึงการยุติความขัดแย้ง นั้นต้องควบคู่ไปกับการสร้างสังคมสันติสุข ซึ่งแนวทางปฏิบัติคือต้องมีการปฏิรูปที่โครงสร้างของสังคม ได้แก่ 1. ต้องตั้งรูปประเทศใหม่ให้มีฐานกว้าง และมีความมั่นคงแข็งแรง ทำให้ชุมชนท้องถิ่นทั่วประเทศมีความเข้มแข็ง 2. ส่งเสริมให้เกิดยุติธรรมชุมชน ให้คนในชุมชนได้รับความเป็นธรรม 3.สร้างสันติวิธี เพื่อคลายความขัดแย้ง 4.ส่งเสริมให้เกิดประชาเสวนา มีการแลกเปลี่ยนและระดมความคิด คุยกันในฐานะคนไทย 5.ใช้ยุทธศาสตร์สันติวิธีเข้ามาช่วย ในการลดความขัดแย้ง 6.สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
นอกจากนี้ ศ.นพ.ประเวศ กล่าวด้วยว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมนั้นไม่ได้เกิดจากประชาชน แต่มีจุดเริ่มต้นที่นักการเมือง ฉะนั้นสันติภาพจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องเริ่มต้นที่ประชาชน จะเอาสันติภาพไปทิ้งที่นักการเมืองไม่ได้ ดังนั้น ประชาชนต้องรวมตัวกันเป็นเครือข่ายประชาชนเพื่อสันติภาพ มีการเชื่อมโยงไปยังประเทศเพื่อนบ้านด้วย
ขัดแย้งในสังคมไทย ยุติได้ด้วยสตรี?
ทั้งนี้ ในช่วงท้ายมีการอภิปรายเรื่อง “ความขัดแย้งในสังคมไทย ยุติได้ด้วยสตรีจริงหรือ?” โดยมีนางสาวรสนา โตสิตระกูล ประธานคณะกรรมาธิการธรรมาภิบาล วุฒิสภา นายวัชรินทร์ ปัจเจกวิญญูสกุล อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาธนบุรี นายสมชาย หอมลออ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อแนวทางปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ศ.ดร.ปาริชาติ สถาปิตานนท์ รองคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และดร.สุธาดา เมฆรุ่งเรืองกิจ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยบทบาทหญิง ชาย และการพัฒนา ร่วมเสวนา
นายวัชรินทร์ กล่าวว่า คนทุกคนมีศักยภาพเท่าเทียมกันหมด ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ถ้าอยู่ในจุดที่จะช่วยสังคมได้ คนๆนั้นต้องใช้ศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ ก็จะทำให้สังคมเดินไปข้างหน้าได้ แต่ทั้งนี้ความขัดแย้งก็สามารถที่เกิดขึ้นได้ หากมีความคิดที่มองว่าตนเองมีศักยภาพแต่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างที่ควรจะเป็น แต่อย่างไรก็ตามทุกคนสามารถที่จะดึงศักยภาพเข้าไปมีส่วนในกิจกรรมที่ทำอยู่ ไม่ว่าในฐานะใด ก็จะช่วยลดความขัดแย้งได้
ด้านนางสาวรสนา กล่าวว่า ผู้หญิงต้องทำให้ตนเองมีการพัฒนาจนทำให้สังคมยอมรับได้ แล้วจึงเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา แต่ทั้งนี้ผู้หญิงไทยนั้นยังมีบทบาทในบ้านมากกว่าจึงไม่ค่อยมีความคิดที่ต้องออกมาดูแลหรือปกป้องสิ่งอื่นที่อยู่นอกบ้านด้วย ฉะนั้น ต้องทำให้ผู้หญิงเกิดความรู้ความเข้าใจ ถึงปัญหา และทำให้มีความรู้มากขึ้น ก็จะสามารถช่วยแก้ปัญหาได้
“ความขัดแย้งที่เกิดมากขึ้น อาศัยผู้ชายอย่างเดียวนั้นค่อนข้างยาก เราไม่มองว่าใครดีกว่ากัน แต่ต้องมีการทั้งสองฝ่ายมาช่วยกันแก้ปัญหาให้ดีกว่าเดิม”
ด้าน ศ.ดร.ปาริชาติ กล่าวว่า การที่จะปลุกให้พลังสตรีมีบทบาทเพิ่มขึ้นในสังคม ต้องเริ่มตั้งแต่เด็ก ซึ่งสื่อมีส่วนสำคัญในการปลูกฝัง สิ่งที่เจออยู่เสมอ คือ วาระในสื่อ ในข่าว หรือแม้แต่ในละคร มักจะสะท้อนความจริงในสังคม ในบางครั้งสื่อก็เป็นผู้กำหนดวาระและไปสะท้อนที่สังคม ในทางกลับกันสังคมก็เป็นผู้กำหนดและสื่อก็สะท้อนออกมา
“ปัจจุบันสื่อกำลังผลิตซ้ำทางความคิด ตราบใดที่สื่อยังคงส่งเสริมให้ผู้หญิงอิจฉาริษยากัน ยังคงส่งเสริมให้ชิงดีชิงเด่นกัน เป็นสิ่งที่อันตรายมากสำหรับคนรุ่นใหม่ที่จะก้าวขึ้นมา ในขณะเดียวกันสื่อก็ยังเสนอถึงการมีบทบาทที่มากขึ้นของผู้หญิง ฉะนั้น ผู้หญิงต้องไม่หยุดที่จะแสดงพลังออกมา และเลือกที่จะรับสื่อให้ดี” ศ.ดร.ปาริชาติ กล่าว และว่า ยุคนี้เป็นยุคที่สังคมเปิดพื้นที่ให้กับบทบาทของสตรีมากขึ้น ข่าวนำเสนอให้เห็นว่าผู้หญิงสามารถก้าวมาเป็นผู้นำได้ และสามารถที่จะยุติความรุนแรงได้ แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะกล้าที่ก้าวออกมาแสดงพลังนั้นหรือไม่
ขณะที่ นายสมชาย กล่าวว่า ในช่วงของความขัดแย้งที่ผ่านมา บทบาทของเคเบิ้ล และวิทยุชุมชน มีลักษณะในการช่วยสร้างความขัดแย้งในสังคมเป็นอย่างมาก และอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความขัดแย้งในอนาคตด้วย และจากความขัดแย้ง ความรุนแรงในหลายปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าความรุนแรงจะเกิดขึ้นจากผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของผู้ชาย การจะสร้างความสันติก็ต้องนำเอาวัฒนธรรมของผู้หญิงออกมาใช้ในสังคม
“ถ้าที่ใดไม่มีความขัดแย้งในสังคม จะเป็นสังคมที่นิ่งและตายแล้ว ทั้งนี้ความขัดแย้งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสร้างสรรค์ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นการสร้างวัฒนธรรมของมนุษยชาติ” คณะกรรมการ คอป. กล่าวและว่า จากการเลือกตั้งที่ผ่านมา อยู่ในขอบเขตที่ผู้แทนต่างประเทศสามารถรับได้ นั่นแสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยกำลังก้าวไปสู่ความสงบของสังคม จึงได้เลือกผู้หญิงมาเป็นนายกรัฐมนตรี
ด้าน ดร.สุธาดา กล่าวว่า มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงนั้นมีความพร้อมในการเป็นผู้นำ เนื่องจากผลวิจัยออกมาว่าในอุปนิสัยผู้นำ 8 ข้อ ผู้หญิงมีอุปนิสัยที่มากกว่าผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นในส่วนของการตัดสินใจ ที่ผู้ชายนั้นจะมีมากกว่า ฉะนั้น ในส่วนของการตัดสินใจต้องอาศัยการผสมผสาน ทำงานร่วมกันระหว่างหญิงและชาย