“นพ.ประเวศ” เคลื่อนปฏิรูปจังหวัดดึงนโยบายจากชุมชน ชี้ไม่ขวางรบ. มีแต่หนุนเสริม
เริ่มขึ้นรูปสมัชชาระดับจังหวัด ภาคกลาง วางรากฐานแผนพัฒนาชุมชนอย่างบูรณาการ สร้างนโยบายประเทศโดยประชาชน แก้ปัญหาได้จริง สร้างท้องถิ่นให้มีประชาธิปไตยที่แท้จริง-สมานฉันท์
วันที่ 26 กันยายน สำนักงานปฏิรูป (สปร.) จัดประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้การเตรียมกระบวนการสมัชชาปฏิรูประดับจังหวัด เวทีที่ 2 (ภาคกลาง) ณ ห้องประชุมแกรนด์บอลรูม ร.ร.รามาการ์เด้น กรุงเทพฯ ภายในงานมีการบรรยายพิเศษ “การขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศไทยโดยใช้จังหวัดเป็นฐาน” โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.)
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวตอนหนึ่งว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรมในสังคมนำไปสู่ความขัดแย้ง รุนแรงและจลาจลในทุกแห่งทั่วโลก ซึ่งแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหาจำเป็นต้อง “ปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ” ที่แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่สามารถทำได้โดยประชาชนร่วมปฏิรูป 3 ระดับ ได้แก่ ปฏิรูปตัวเอง ปฏิรูปประดับองค์กร และปฏิรูประดับนโยบาย
“ปฏิรูปตัวเอง คือ ต้องมีสำนึกในศักดิ์ศรี และคุณค่าความเป็นคน ปฏิรูปประดับองค์กร ต้องร่วมกันคิดร่วมกันทำในระดับชุมชน ตั้งสภาผู้นำชุมชนและสภาองค์กรชุมชน เพื่อเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาของชุมชน เช่น ความยากจน สิ่งแวดล้อม ส่วนปฏิรูประดับนโยบาย จะเป็นการสังเคราะห์และร่วมผลักดันนโยบายโดยประชาชน”
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวว่า การที่ชุมชนท้องถิ่นจัดการตัวเองนั้น ในทุกหมู่บ้าน ควรมีการรวมตัวของผู้นำ เป็นสภาผู้นำชุมชน สำรวจข้อมูลชุมชน แล้วนำข้อมูลมาทำแผนพัฒนาชุมชนอย่างบูรณาการ ทั้งด้านเศรษฐกิจ จิตใจ สังคม สิ่งแวดล้อม สุขภาพ การศึกษา จากนั้นนำแผนมาเสนอต่อคนในหมู่บ้าน ออกความเห็นร่วมกัน เป็นกระบวนการประชาธิปไตยชุมชน ซึ่งเป็นประชาธิปไตยทางตรง ต่างกับประชาธิปไตยท้องถิ่นและประชาธิปไตยระดับชาติที่เป็นประชาธิปไตยทางอ้อม มาจากการเลือกตั้งและแต่งตั้ง
“นโยบายบริหารประเทศส่วนใหญ่ที่คิดมาจากข้างบน ไม่สามารถเข้าถึงและแก้ปัญหาของประชาชนได้อย่างแท้จริง ดังนั้น การร่วมคิดแผนหรือนโยบายที่มาจากข้างล่าง จะเป็นการกำหนดโดยคนทั้งประเทศ แก้ปัญหาได้จริง ประชาชนในชุมชนก็สามารถร่วมขับเคลื่อนตามแผนนโยบายได้ สังคมก็จะเดินหน้าได้ มีสัมมาชีพเต็มพื้นที่ เรียกได้ว่าเป็นกระบวนการประชาธิปไตยที่แท้จริง ประชาธิปไตยสมาฉันท์ ซึ่งแตกต่างจากแผนและนโยบายที่มาจากภาครัฐ ที่ประชาชนขับเคลื่อนไม่ถูก”
ประธาน คสป. กล่าวต่อว่า ในการที่ท้องถิ่นจัดการตัวเอง จะต้องทำหน้าที่สนับสนุนให้องค์กรท้องถิ่นเข้มแข็ง แล้วให้ไปหนุนและผลักดันให้เกิดนโยบายที่มาจากชุมชน ส่วนจังหวัดจัดการตัวเอง จะเป็นศูนย์ประสานงาน ขับเคลื่อนในรูปแบบภาคีพัฒนาจังหวัดอย่างบูรณาการ
“การทำงานจะยึดให้ชุมชนท้องถิ่นเป็นตัวตั้ง มีภารกิจ 7 ประการ คือ 1.การสำรวจข้อมูลจังหวัด 2.ทำแผนพัฒนาจังหวัดแบบบูรณาการ 3.ประสานงานทุกภาคส่วน โดยเฉพาะ 4.สนับสนุนให้เกิด 1 มหาวิทยาลัย 1 จังหวัด 5.ถอดบทเรียน และต่อยอดขึ้น 6.มีการสื่อสารภายในจังหวัด และ 7. จัดสมัชชาในระดับตำบล จังหวัดเพื่อสังเคราะห์บทเรียน” ประธาน คสป. กล่าว และว่า กระบวนการดังกล่าวนี้ จะเป็นเครื่องมือเชื่อมต่อไปยังสมัชชาระดับชาติ ครั้งที่ 2 อีกทั้งยังเป็นกระบวนการที่หนุนเสริมการทำงานของรัฐบาล ไม่ได้ขัดขวาง หรือสวนทางการทำงานของรัฐบาล
ในช่วงท้ายมีเวทีเสวนา “ร่วมเรียนรู้บทเรียนการขึ้นรูปและการจัดสมัชชาปฏิรูประดับจังหวัด” โดย นายธนพล ศรีใส จังหวดสิงห์บุรี : ชุมชนสวัสดิการสู่การปฏิรูปจังหวัด นายประเชิญ คนเทศ จังหวัดนครปฐม : จังหวัดบูรณาการเพื่อการปฏิรูป นายอาคม ภูมิภัทร จังหวัดตราด : เมืองตราดน่าอยู่ นายสุรจิต ชิรเวทย์ จังหวัดสมุทรสงคราม : ภูมินิเวศอ่าว ก.ไก่
นายธนพล กล่าวว่า หัวใจสำคัญของการจัดการ สู่การจัดสมัชชาปฏิรูปของจังหวัดสิงห์บุรีมี คือ คนในชุมชนต้องมีใจ กล้าลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง มีแกนนำที่เสียสละและมีภาครัฐที่ให้ความสำคัญกับกองทุนสวัสดิการชุมชน ทั้งนี้ การเก็บข้อมูลภายในจังหวัด ถือเป็นหัวใจของการขับเคลื่อนงานทั้งหมด ยิ่งมีข้อมูลมาก รบเมื่อไหร่ก็ชนะ
ขณะที่นายประเชิญ กล่าวว่า การรวมกลุ่มอย่างแข็งขัน คือ หัวใจสำคัญของการจัดสมัชชาปฏิรูปของจังหวัดนครปฐม ต้องมีการติดต่อเชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัยทั้ง 9 แห่ง เพื่อหาสมาชิกเพิ่ม ดึงมันสมองในการเก็บข้อมูล คิดแผนนโยบายต่าง จัดระบบและส่งต่อข้อมูลที่ดี ยึดหลักการทำงานอย่างมีส่วนร่วมและมีความยืดหยุ่น
ด้านนายอาคม กล่าวว่า การจัดเวทีสมัชชาที่ผ่านมาของจังหวัดตราด ทำให้มองเห็นประเด็นปัญหา 8 ด้าน ได้แก่ ด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย ครอบครัว การเรียนรู้ การสื่อสาร และการใช้พื้นที่สาธารณะอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งได้นำข้อมูลต่างๆ มอบให้ภาครัฐ คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด แต่ก็ไม่มีการสานต่อแต่อย่างใด ทั้งนี้ ยังขาดพลังจากชุมชนข้างล่าง ดังนั้น แนวทางต่อไปจึงจะผลักดันให้เกิดการปฏิรูปจากฐานหมู่บ้านให้เชื่อมโยงกับระดับอำเภอและจังหวัดให้ได้ โดยการใช้กลไกของกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ที่มีความเข้มแข็งอยู่แล้วมาเป็นเครื่องมือ เพื่อให้เกิดพลังอย่างแท้จริงจากทุกระดับ
ส่วนนายสุรจิต กล่าวว่า หลักคือ ความสำเร็จของชุมชนท้องถิ่น จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อทุกคนในท้องถิ่นเข้ามาร่วม เพราะเป็นผู้รู้ปัญหาดีที่สุด การทำงานเพื่อท้องถิ่นจะไม่มีตำแหน่งชายยอดเยี่ยม หรือหญิงยอดเยี่ยม จะมีแต่ทีมยอดเยี่ยม ที่ผ่านมาการพัฒนาต่างๆ ที่มาจากคนนอกพื้นที่ หรือภาครัฐเป็นการทำลายชุมชน เพราะไม่ใช่คนพื้นที่ ไม่รู้สภาพปัญหา ไม่มีข้อมูลอย่างลึกซึ้ง
“การปฏิรูป เป็นการเริ่มคิดจากส่วนเล็กๆ แล้วเชื่อมโยงไปภาพใหญ่ การทำงานเรื่องการปฏิรูป หรือจัดสมัชชาปฏิรูปก็เช่นกัน ต้องยึดหลัก “คิดเล็ก ลงลึก ทำไม่เลิก” ให้การทำงานและข้อมูลนำไปสู่คำตอบ ไม่ตั้งธงไว้ก่อน เมื่อพบปัญหาต้องทำให้สุด ขุดให้ถึง จึงจะสามารถคลี่คลายปัญหาได้อย่างแท้จริง”