หลากความคิด... ทิศทางสื่อ
เมื่อเร็วๆ นี้ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย จัดงาน “จากทศวรรษสู่อนาคต : 10 ปี 10 ความคิดทิศทางสื่อ” ในโอกาสครบรอบ 10 ปีการก่อตั้งสมาคมฯ ศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย รวบรวมความคิดบางส่วนมานำเสนอ....
ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล
นักวิชาการและนักวิชาชีพด้านสื่อ
“เมื่อสื่อสารมวลชนอยู่ในสถานภาพการไร้อำนาจของรัฐ และความทรงอำนาจของเทคโนโลยีสื่อสารมวลชนจึงต้องแก้ปัญหาและข้ามผ่านไปให้ได้”
เท่าที่เฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงของสื่อสารมวลชนไทยทั้งในทางปฏิบัติวิชาชีพ และวิชาการ เส้นทางของสื่อสารมวลชนในไทยเป็นเส้นทางสากล คือ การเดินทางตามรอยวิบากของสื่อสารมวลชนโลก เมื่อเทียบกับโลกตะวันตกแล้ว สื่อสารมวลชนไทยยังทิ้งห่างอยู่ประมาณ 30 ปี เห็นได้ชัดว่าปัญหาต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย เป็นปัญหาที่ล้วนเคยเกิดขึ้น ผ่านการวิจารณ์และมีทางออกแล้วในโลกตะวันตกเมื่อ 20-30 ปีที่ผ่านมา
ในโลกยุคเทคโนโลยีการสื่อสาร คลื่นความถี่ดิจิตัล อนาล็อก แซทเทิลไลท์ และไฟเบอร์ เป็นสิ่งที่ปิดกั้นไปก็เปล่าประโยชน์ แม้จะปิดไปก็สามารถเปิดใหม่ได้ และจากการบรรยายในชั้นเรียนปริญญาโท ให้นักศึกษาเล่าถึงการรับสื่อในช่วงเลือกตั้ง ที่มีช่องทางแข่งขันหาเสียงมากมาย ปรากฏว่า แทบทั้งชั้นเรียนไม่ได้รับสื่อกระแสหลัก ทั้งหนังสือพิมพ์ และทีวี หรือหากจะรับก็ไม่เชื่อถือนัก เพราะต่างก็มีช่องทาง มีสื่อในกลุ่มของตัวเอง
ข้อนี้ทำให้สื่อต้องย้อนถามตัวเองว่าจะอยู่ต่อได้อย่างไร ในโลกที่เข้าสู่ยุคที่ต้องละเอียดอ่อนมากในการรับรู้ข่าวสาร
ยุคปัจจุบัน ไม่ใช่เวลามานั่งเถียงกันว่าใครจะได้คลื่น คืนคลื่น แต่เป็นยุคที่ในวิชานิเทศศาสตร์ใช้คำว่า “ยุคที่รัฐอยู่ในสภาวะไร้อำนาจ” รัฐแทบไม่มีพรมแดนและไม่มีอำนาจ แม้กระทั่งพรมแดนของตัวเอง เช่น การสั่งปิดทีวีช่องเหลืองแดง หรือช่องสัญญาณดาวเทียมอื่นๆ เจ้าของกิจการก็สามารถแยกย่อยเช่าช่องสัญญาณดาวเทียมจากประเทศอื่น เช่น ฮ่องกง ที่ขณะนี้มีผู้เช่าอยู่ประมาณ 46 ช่อง
“ยุคนี้เป็นยุคที่สื่อมวลชนกระแสหลักกำลังได้ความน่าเชื่อถือ แต่ถึงแม้ว่าจะได้รับความน่าเชื่อถือมากเพียงใด หากผู้อ่านมีสื่อในกลุ่มของตนเอง มีจุดมุ่งหมาย และสื่อเองก็อยู่ในยุคที่สื่อกลุ่มหนึ่งเป็นตะเกียงนำทาง แต่ถือตะเกียงเจ้าพายุ ดังนั้น เมื่อสื่อสารมวลชนอยู่ในสถานภาพการไร้อำนาจของรัฐ และความทรงอำนาจของเทคโนโลยีสื่อสารมวลชนจึงต้องแก้ปัญหาและข้ามผ่านไปให้ได้”
สื่อที่เป็นตะเกียงนำทาง โดยมีตะเกียงลูกเดียว ไม่เคยคิดผันแปร มีอุดมการณ์ทางการเมืองด้านเดียว เรียกได้ว่ามีสิทธิเสรีภาพข้ามขอบเขตพรมแดนและอำนาจรัฐ แต่ขาดความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตามหากศึกษางานวิจัยเรื่องสื่อในสหรัฐอเมริกา สรุปได้ว่า สื่อกระแสหลักจะต้องคงอยู่ แต่ต้องสร้างความน่าเชื่อถือ โดยยึดหลัก ตะเกียงนำทาง คือ จริยธรรมวิชาชีพ
“สื่อกระแสหลักจะต้องยึดความจริง มีวินัยในการตรวจสอบความจริง ทุ่มเททุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรการเงิน กำลังแรงงาน ความเหนื่อยยาก ที่จะนำความจริงมาให้สาธารณชน และจงรักภักดีต่อสาธารณชน ทั้งนี้ในโลกปัจจุบันมี สื่อใหม่ ทั้งเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ หรือเว็บบล็อก สื่อกระแสหลักควรต้องเสริมสื่อใหม่เหล่านี้เข้าไปจึงจะสามารถอยู่ได้ ไม่อย่างนั้น เราจะเต็มไปด้วยการเดินตามทางที่ถูกนำ และจะหลงทางกันทั้งประเทศ”
น.พ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา
ว่าที่ กสทช. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค (โทรคมนาคม)
“ถ้าสื่อจะเลือกข้าง จงเปิดเผยตัว อย่าทำเหมือนโฆษณาแฝงในละคร ชักจูงให้คนหลงเชื่อ หากปกปิด เบี่ยงเบนสถานะตัวเอง ผิดแน่นอน”
เทคโนโลยีเป็นตัวนำ และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าวิชาชีพใดก็ตามแต่ เมื่อโลกพัฒนาขึ้น การผูกขาดทางอาชีพจะลดลง เช่น วิชาชีพแพทย์ เมื่อก่อนเจ็บป่วยไปหาหมอ แต่ปัจจุบันนี้มีตำราดูแลตัวเอง ซึ่งพบว่า หลายครั้งการเลือกแบบนั้นตอบโจทย์โรคที่การแพทย์สมัยใหม่รักษาไม่หายได้
เช่นเดียวกัน “การผูกขาดโดยวิชาชีพสื่อ” จะต้องถูกแบ่งแยกแตกสลายออกไปแน่นอน เพราะเทคโนโลยีเป็นตัวนำ ให้เข้าถึงทรัพยากรสื่อ เช่น ทรัพยากรคลื่น และประชาชนก็กลายเป็นผู้ผลิตรายการ ผลิตข่าวและผลิตสื่อได้เอง การผูกขาดด้านวิชาชีพจะถูกลดทอนลงไปโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่ผ่านมาทุกคนคงเคยได้ยินคำว่า สื่อใหม่ สำหรับประเทศไทยยังล้าหลังในบริบทสื่อโลกอยู่ ที่ยังเป็นปัญหาเรื่องเสรีภาพ คือ วิทยุชุมชน เคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียม ที่มีเนื้อหาผิดกฎหมาย ต้องหันมาทบทวนกันให้มาก เพราะการสื่อสารทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโลก ทั้งนี้ คำตอบไม่ได้อยู่ที่การจำกัดเสรีภาพ
“การเมือง ก็มีผลต่อสื่ออย่างรุนแรง ทำให้เกิดการแบ่งฝ่าย เกิดสื่อเลือกข้าง ซึ่งแล้วแต่คนคิดว่า ควรหรือไม่ควร แต่ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า ถ้าเมื่อไหร่สื่อเลือกข้าง จงเปิดเผยตัว อย่าทำเหมือนโฆษณาแฝงในละคร ชักจูงให้คนหลงเชื่อ เมื่อใดก็ตามที่อยากบอกข้อมูล ต้องทำให้ชัด แล้วเชื่อหรือไม่เป็นเรื่องของผู้ชม แต่เมื่อไหร่ที่ปกปิดตัวเอง เบี่ยงเบนสถานะตัวเอง ผิดอย่างแน่นอน”
ปัญหาของธุรกิจกับการเมือง ทำให้เกิดปัญหาการเลี้ยงดูสื่อ ซึ่งมีมานานแล้ว แต่ในแง่ของการเมืองหากจะเข้ามาเลี้ยงดูสื่อ เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ เพราะสื่อมีระยะห่างกับแหล่งข่าว อย่างแหล่งข่าวในธุรกิจเราสามารถมองเห็นในทีวี หรือสื่อต่างๆ ได้อย่างชัดเจน แต่ไม่ควรมีข่าวสังคมธุรกิจของพรรคการเมือง การเมืองควรมีระยะห่างกับสื่ออย่างชัดเจน และขีดเส้นกันอย่างชัดเจนว่า อะไรคือจรรยาบรรณของสื่อ ปัญหาประสิทธิภาพของสื่อสิ่งที่ทำให้เกิดความรุนแรงจริง คือ การยั่วยุให้เกิดการแตกแยก
“ผมไม่เชื่อว่าต้องแก้ที่เสรีภาพสื่อ แต่ต้องสร้างกติกา ในมิติการกำกับดูแลสื่อ ถ้าไม่ให้สื่อกำกับดูแลกันเอง ก็ไม่มีทางที่จะรู้ว่าอะไรถูกหรือผิด ผมเห็นความสำคัญของการรวมตัวทางวิชาชีพ แต่การกำหนดจรรยาบรรณวิชาชีพก็ต้องได้รับการยอมรับด้วย ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดกรณีที่เมื่อมีการพิจารณาโดยองค์กรวิชาชีพ แล้วสื่อบางสื่อก็เดินออกจากองค์กรวิชาชีพไป ซึ่งไม่เกิดอะไรต่อสังคม ผมยังเชื่อในการกำกับดูแลกันเอง แต่ถ้าตราบใดทำแล้วไม่ได้ผล อาจต้องใช้การบังคับโดยกฎหมาย เช่นเดียวกับ แพทย์ และทนายความ เพื่อป้องกันการเซนเซอร์ตัวเอง ทั้งในระดับผู้สื่อข่าว และสถานีข่าว”
ท่ามกลางสถานการณ์ที่เรามีสื่อซึ่งไม่เป็นวิชาชีพ เช่น สื่อภาคประชาชน วิทยุชุมชน หรือทีวีดาวเทียม สิ่งที่วิชาชีพควรจะทำ คือ ขีดเส้นแบ่งระหว่างความเป็นมืออาชีพและไม่เป็นมืออาชีพ เพื่อความน่าเชื่อถือของวิชาชีพ
“การขีดเส้นแบ่งไม่ใช่การแบ่งแยก แต่เป็นการขีดเพื่อให้เกิดการพัฒนา สร้างศักยภาพให้สื่อภาคประชาชน สิ่งที่อาชีพอื่นๆ ไม่มีเหมือนอาชีพที่มีวิชาชีพ คือ จรรยาบรรณ และบรรณาธิการ ทุกครั้งมีการตรวจสอบ คัดกรองเรื่องที่จะนำเสนอ โดยส่วนตัวผมอยากให้สื่อทำหน้าที่ทำเรื่องลึกลับให้เป็นเรื่องโปร่งใส แต่ผมไม่เห็นด้วยว่าถ้าสื่อจะทำเรื่องลับทุกเรื่องให้เป็นเรื่องเปิดเผย เช่น เรื่องความมั่นคง และเรื่องส่วนตัว แม้จะเป็นเรื่องของบุคคลสาธารณะ ณ วันนี้ อาจถึงเวลาปรับปรุงองค์กรวิชาชีพ เพื่อให้สอดรับกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป”
นายวงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์
บรรณาธิการบริหาร a day
“การตรวจสอบสื่อ เปรียบเสมือน ‘น้ำในท่อประปา’ ปล่อยไหลเรื่อยๆ ไม่มีผ้ากรอง ไม่ถูกตรวจสอบ เราอาจไม่เห็นตะกอนตะกรัน เศษสิ่งสกปรกที่ตกค้าง”
ตลอดการทำงานกว่า 18 ปีในวงการสื่อสารมวล ผมไม่เคยเห็นยุคใดเลยที่แมลงวันตอมแมลงวัน หรือหมาเฝ้าบ้านถูกจับไปขายกินตัวละ 400 บาท ผมไม่เคยเห็นยุคใดเลยที่วงการสื่อจะถูกตรวจสอบ ถูกตั้งคำถามในเรื่องจริยธรรมและความคิดความเชื่อทางวิชาชีพมากขนาดนี้
“โดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อในเรื่องการตรวจสอบ คนทำงานในทุกวิชาชีพสมควรจะต้องถูกตรวจสอบ ไม่ว่าจะในระดับองค์กรสื่อ หรือการตรวจสอบในหมู่สื่อด้วยกันเอง เพราะการตรวจสอบเปรียบเสมือน ‘น้ำในท่อประปา’ ที่ผลิตขึ้นมาใช้ดื่มใช้กินกันทุกวัน หากปล่อยให้น้ำไหลไปเรื่อยๆ ใช้ไปเรื่อยๆ เราก็ไม่มีวันรู้ได้เลยว่า คุณภาพน้ำที่ไหลชั่วนาตาปีนั้นดีหรือไม่ แต่หากมีการตรวจสอบ มีผ้ากรองมากรองน้ำดังกล่าว ไม่แน่ว่า น้ำที่เราเห็นว่า ‘สะอาด’ ที่แท้แล้วอาจมีตะกอนตะกรัน เศษสิ่งสกปรกตกค้าง อย่างที่ไม่คาดคิด”
ทั้งนี้ นอกจากเรื่องการตรวจสอบสื่อแล้ว ผมคิดว่า คุณสมบัติของคนทำสื่อในยุคปัจจุบัน รวมถึงในอีก 10 ปีข้างหน้า จะต้องประกอบด้วยลักษณะ 5 ประการคือ
1.สื่อควรเป็นผู้ให้การศึกษา ความรู้ความคิดที่ถูกต้องแก่ประชาชน เพราะผมไม่สบายใจทุกครั้งที่เห็นสื่อกระแสหลัก โดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์ ซึ่งเป็นสื่อที่มีอิทธิพลอย่างมาก นำเสนอข่าวที่ไม่ให้การศึกษาแก่ประชาชน ในทางกลับกัน ยังฉุดให้คนคิดไปในทางต่ำ
...ผมไม่สบายใจทุกครั้งที่เห็นข่าวอาชญากรรมที่พยายามเจาะช่อนไชโดยไม่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชน
...ผมไม่สบายใจทุกครั้งที่เห็นข่าวข่มขืนถูกประโคมให้คนเกิดความรู้สึกเกลียดแค้น
...ผมไม่สบายใจที่เห็นสื่อกระแสหลักเล่นเรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์ ซึ่งไม่มีเหตุผลมารองรับ ฯ ฉะนั้น คนทำสื่อต้องตระหนักถึงสิ่งที่เผยแพร่และถ่ายทอดออกไปว่า มีส่วนอย่างมากต่อความรู้สึก ความคิดความอ่าน ความรู้และภูมิปัญญาของประชาชน
2.คุณสมบัติของคนทำสื่อยุคนี้ต้องหาความรู้ให้มาก เพราะเป็นต้นทุนในการสื่อสารและให้ความรู้แก่ประชาชน
3.คนทำสื่อต้องทันสมัย เพราะรูปแบบมีเดียเปลี่ยนผ่าน เคลื่อนย้ายไปมาก เราเกิดโซเชียลมีเดีย เราเกิดนักข่าวพลเมือง รวมทั้งทีวีดาวเทียมเป็น 100 ช่อง ทำให้ปริมาณของสื่อเพิ่มขึ้นมาก อย่างที่ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์สื่อมวลชนไทย
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากตั้งข้อสังเกตคือ เคเบิลทีวีเมืองไทยที่มีจำนวนมากนั้น ร้อยละ 70 เป็นรายการที่ไม่มีคุณภาพ ไร้สาระเช่น รายการไสยศาสตร์ ขายสินค้า รายการสอดแทรกความลามกอนาจาร เพราะฉะนั้นการมีสื่อมากๆ อาจไม่ใช่เรื่องดี ขณะเดียวกันการสื่อสารอย่างรวดเร็วผ่านโซเชียลมีเดีย อาจก่อให้เกิดความผิดพลาดได้ ดังนั้นจึงอยากเสนอว่า ควรเน้นเรื่องความถูกต้อง ช้าแต่ชัวร์ดีกว่า
4.สื่อควรมีความเป็นกลาง เพราะเมื่อใดที่สื่อเลือกข้างแล้วก็ยากที่จะกลับมาสู่ความเป็นกลาง ความเท่าเทียม ความเสมอภาพ ถึงแม้ว่าความคิดความเชื่อของคนทำสื่อในยุคนี้ อาจบอกว่า สื่อสามารถประกาศตัวได้ว่าสนับสนุน หรือถือข้างใครก็ได้ ตามแนวทางที่ยึดถือกันของสื่อในต่างประเทศ แต่สำหรับประเทศไทยเรายังไม่พร้อมขนาดนั้น ดังนั้น หน้าที่ของสื่อควรพยายามรักษาความเป็นกลางให้ได้มากที่สุด แต่ความเป็นกลางในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเห็นด้วยกับความชั่ว ความดี ความเลวเท่าๆ กัน แต่อยู่ที่เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้มีพื้นที่ในการแสดงความคิดความเห็นเท่าๆ กัน
และ 5.สื่อต้องมีอุดมการณ์ ซึ่งสำหรับผมแล้ว อุดมการณ์ของคนทำสื่อคือ ต้องมุ่งมั่นอยู่กับความถูกต้อง ข้อมูล ข้อเท็จจริง พยายามสร้างบรรยากาศของความไม่ขัดแย้ง ไม่เป็นตัวจุดชนวนความขัดแย้ง ประการสุดท้ายต้องพยายามสร้างให้สังคมเป็นสังคมประชาธิปไตย เมื่อเลือกแล้วว่า สื่อมวลชนจะเป็นอาชีพสุดท้ายที่ตนเองจะทำ