มูลนิธิตลาดหลักทรัพย์ฯ เชิดชูผู้ทำความดีเพื่อสังคม 6 สาขา
“สมพล เกียรติไพบูลย์” มอบรางวัลพร้อมเงินสนับสนุน 2 ล้านแก่ผู้ทำดีเพื่อสังคม 6 องค์กร 6 สาขา ด้านตัวแทนสาขาพัฒนาการศึกษาชี้ปมปัญหา 3 จว.ชายแดนใต้ ส่วนหนึ่งเพราะส่วนกลางแก้ปัญหาการศึกษาไม่ตรงจุด
วันที่ 9 สิงหาคม มูลนิธิตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดพิธีมอบรางวัล “โครงการเชิดชูผู้ทำความดีเพื่อสังคม ปี 2554” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 และมอบเงินสนับสนุนรวม 2 ล้านบาทแก่ 6 องค์กร 6 สาขาในโครงการเชิดชูผู้ทำความดีเพื่อสังคม 2554 และมูลนิธิส่งเสริมสงเคราะห์ผู้กระทำความดี โดยมี นายสมพล เกียรติไพบูลย์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นประธานในงาน ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ชั้น 3 อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ
สำหรับผู้ที่ได้รับรางวัลและเชิดชูเกียรติบุคคลผู้ทำความดีใน 6 สาขา ได้แก่ นางราศี แสงจักร ครูชำนาญการพิเศษ ร.ร.วัดถนน อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง และนางเอมอร ตันเถียร ข้าราชการบำนาญ สำนักงานอัยการสูงสุด สาขาการพัฒนาห้องสมุด รางวัลศ.คุณหญิงแม้นมาศ ชวลิต นายศรัทธา ห้องทอง ผอ.ร.ร.บ้านคลองน้ำใส จ.ยะลา สาขาการพัฒนาการศึกษา รางวัลศ.สังเวียน อินทรวิชัย ศ.นพ.บวรศิลป์ เชาวน์ชื่น ประธานกรรมการมูลนิธิตะวันฉาย เพื่อผู้ป่วยปากแหว่ง เพดานโหว่และพิการทางศีรษะและใบหน้า สาขาการพัฒนาสังคมชนบท รางวัลมีชัย วีระไวทยะ ครูยูโซะ อุมาร์ ศิลปินสาขาศิลปะการแสดงดิเกร์ฮูลู (ลิเกฮูลู) สาขาการส่งเสริมดนตรี รางวัลสุกรี เจริญสุข นายเสนอ ไชยยงค์ อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย สาขาการส่งเสริมกีฬา รางวัลพลตีสำเร็ง ไชยยงค์ โครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) และกลุ่มไรท์เตอร์ สาขาการพัฒนาสังคมเมือง รางวัลอิสรเมธีใน
จากนั้นมีการเสวนา “ถอดรหัสคนดีของสังคมไทย” โดยตัวแทนผู้รับรางวัลแต่ละสาขา เิริ่มด้วยนายศรัทธา ผู้ได้รับรางวัลสาขาพัฒนาการศึกษา กล่าวว่า ต้นทางกว่าจะมาถึงวันนี้เริ่มจากในวัยเด็กได้รับทุนการศึกษาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงมีความตั้งใจที่จะสานฝันต่อให้เด็กที่ขาดโอกาส จึงอาสาไปทำงานในทุกโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง มีความรุนแรงหรือเป็นพื้นที่สีแดง โดยคาดหวังว่าสักวัน 3 จังหวัดชายแดนใต้จะสงบสุข ทั้งนี้หากนั่งหวังอย่างเดียว ความสำเร็จก็ไม่เกิด จึงคิดว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญอันจะนำความสงบมาสู่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ได้
“การทำงานในพื้นที่เสี่ยงย่อมมีบางครั้งที่หดหู่ใจ แต่ไม่เคยท้อใจ 31 ปีที่ทำงาน และ 49 ปีที่ดำรงชีวิตอยู่ สิ่งที่อยากฝากไว้คือหลายครั้งส่วนกลางลงมาแก้ปัญหา โดยเฉพาะนโยบายด้านการศึกษาเป็นการแก้ที่ไม่ตรงจุด รวมทั้งไม่อยากให้ส่วนกลางมอง 3 จังหวัดชายแดนใต้ เป็นที่ทิ้งขยะ เช่น มักส่งข้าราชที่ทำผิด นักเรียนตีกันเข้ามาอยู่ที่นี่ อยากให้นำสิ่งดีๆ หรือนโยบายดีๆ เข้ามาบ้าง เพราะเรามีปัญหามากพอแล้ว”
ขณะที่ศ.นพ.บวรศิลป์ ผู้ได้รับรางวัลสาขาการพัฒนาสังคมชนบท กล่าวว่า การสร้างโอกาสให้กลุ่มผู้ป่วยปากแหว่ง เพดานโหว่ เริ่มต้นจากหลักคิดความเท่าเทียมกันของคน เราจึงต้องให้โอกาสกับคนกลุ่มนี้ ให้เป็นที่ยอมรับจากสังคม เพราะเขาสามารถประสบความสำเร็จได้ ทั้งนี้อยากเพิ่มเครือข่ายทางแพทย์ หรือทีมแพทย์สนับสนุน เพื่อขยายงานออกไปกว้างมากขึ้น และเข้าถึงกลุ่มคนไข้มากขึ้น
“มาตรฐานการดูแลรักษาผู้ป่วยของเราสามารถเทียบเคียงหรือดีกว่าต่างประเทศได้ เพราะความสามารถเราไม่ได้แพ้เลย แต่สิ่งที่ทำให้เรายังห่างเนื่องจากมีปัญหาในเชิงระบบ อันเป็นที่มาหนึ่งที่ทำให้เกิดมูลนิธิตะวันฉาย เพื่อผู้ป่วยปากแหว่ง เพดานโหว่ฯ ขึ้นมา”
ด้านนางสุภาพร ตัวแทนสาขาการพัฒนาสังคมเมือง กล่าวถึงโครงการนี้ตั้งขึ้น เพื่อทำงานโดยการใช้เครื่องมือด้านกฎหมายช่วยให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรอย่างมีคุณภาพ และยั่งยืน เพื่อคนรุ่นถัดไป ซึ่งการทำงานนักกฎหมายจะคำนึงถึงบทบาททางสังคมด้วย แต่ที่ผ่านมาโครงการเรามักจะถูกมองว่าเป็น "ผู้ขัดขวางความเจริญ" อยู่เสมอ
"เรายืนหยัดในสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง โดยมองว่าแม้การพัฒนาและความเจริญจะเป็นสิ่งจำเป็น แต่ความยั่งยืน และการคงวิถีของชุมชนเป็นสิ่งสำคัญกว่า ซึ่งการลงพื้นที่ทำงานกับชุมชน ทำให้ได้รู้ ชุมชนในฝันที่คนในพื้นที่หรือชาวบ้านต้องการไม่ใช่ชุมชนในอนาคตอย่างที่หลายๆ ฝ่ายกำลังพยายามให้เป็น แต่กลับเป็นชุมชนในอดีต แบบดั้งเดิมที่เคยมีมา และการต่อสู้ของชาวบ้านเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำเพื่อตนเองและครอบครัวเท่านั้น หากแต่เป็นการต่อสู้เพื่ออนาคตของพวกเราทุกคน ในการคงสภาพสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรให้ไปถึงรุ่นลูกหลาน”