นักวิชาการนิเทศฯ มอง "สื่อ" ประชาธิปไตยแค่ในกระดาษ
วงเสวนาวันรพี แนะสื่อไม่ควรไปโทนเดียวกับรัฐ การถูกกำกับควบคุมเหมือน “นกในกรง” ชี้ สื่อปัจจุบันมีเสรีภาพภายใต้วัฒนธรรมอำนาจ ย้ำชัดสื่อควรเร่งสร้างเกราะป้องกัน ไม่จำกัดการนำเสนอตนเอง กำหนดจุดยืนตามจรรยาบรรณ ไม่สนใจใครเป็นรบ.
วันที่ 8 สิงหาคม คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเสวนาวิชาการ วันรพี ‘ 54 ในหัวข้อ “สื่อไม่พอดี รัฐไม่พอใจ ทำอย่างไรจะไปด้วยกัน” ณ ห้องจี๊ด เศรษฐบุตร มธ. ท่าพระจันทร์ โดยมี นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ กรรมการปฏิรูปกฎหมาย ผศ.ดร.จันทจิรา เอี่ยมมยุรา นิติศาสตร์ มธ. รศ.อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์ นักวิชาการด้านนิเทศศาสตร์ ผศ.วนิดา แสงสารพันธ์ นิติศาสตร์ ม.กรุงเทพ และจีรนุช เปรมชัยพร ผอ.เว็บไซต์ประชาไท ร่วมเสวนา
องค์กรตรวจสอบรัฐ มี "ช่องโหว่" อำนาจการทำงาน "แข็งกระด้าง"
ผศ.ดร.จันทจิรา กล่าวว่า ประเทศเราเป็นประเทศประชาธิปไตย ที่มีหลักนิติรัฐ อันแสดงถึงการที่ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ที่มีตัวบทกฎหมายที่ดีพอสมควรในการควบคุมการทำงานของรัฐไม่ให้ทำตามอำเภอใจ สำหรับระบบควบคุมการทำงานของรัฐ จะมีกลุ่มที่สร้างโดยองค์กรควบคุมภายนอกรัฐบาล เช่น ระบบศาล และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญคอยควบคุม เช่น สตง. ป.ป.ช. กสม. ฯลฯ แต่องค์กรเหล่านี้มีอำนาจเฉพาะเรื่อง ไม่มีการใช้ดุลยพินิจ
“หลายหน่วยงานยังเหมือนเสือกระดาษ กล่าวได้ว่าหากองค์กรเหล่านี้เป็นจิ๊กซอว์แต่ละชิ้นของภาพ ภาพที่ว่านี้ยังมีช่องโหว่ โดยเฉพาะเรื่องชีวิตประชาชน และการตรวจสอบรัฐ ดังนั้น เมื่อมีระบบตรวจสอบที่ได้มาตรฐาน ต้องคำนึงด้วยว่าการทำงานมีประสิทธิภาพหรือไม่”
ผศ.ดร.จันทจิรา กล่าวถึงหลักนิติรัฐที่ประกอบด้วย 3 ศาลว่า ล้วนมีอำนาจและขอบเขตอำนาจที่จำกัด เช่น ศาลปกครอง มีข้อจำกัดที่สามารถตรวจสอบได้แค่ความถูกต้อง หรือเรื่องตามที่กฎหมายกำหนด แต่ความถูกใจไม่สามารถตรวจสอบได้ เช่น การใช้ดุลยพินิจ แนวคิด หรือทัศนะการทำงานที่ยังล้าสมัยอยู่ ส่วนการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชนของศาลตุลาการ ค่อนข้างจำกัดและแคบมาก เป็นการทำงานเชิงรับที่ไม่สามารถริเริ่มตรวจสอบการกระทำได้เอง อีกทั้งการพิจารณาคดียังล่าช้า
“เรียกได้ว่า กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ ซึ่งความล่าช้าของความยุติธรรม คือ ความไม่ยุติธรรม ทำให้อำนาจของศาลค่อนข้างแข็งกระด้าง”
อาจารย์นิติศาสตร์ มธ. กล่าวต่อว่า สื่อมวลชนในปัจจุบันนี้เห็นชัดเจนว่า มีการแบ่งแยกอุดมการณ์ทางการเมือง สื่อหลายค่ายแสดงความเป็นตัวตนและอุดมการณ์ออกมาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสื่อมีผลในการนำพาให้เกิดความแตกแยก หรือเปลี่ยนผ่านอุดมการณ์ได้ และเมื่อสื่อเลือกข้างชัดเจน และพบปรากฏการณ์ที่รัฐบาลจัดงบประมาณมาซื้อโฆษณาในสื่อได้
“ผลการสำรวจจาก Asia Nielsen พบว่าในสมัยรัฐบาลทักษิณ ช่วง 6 เดือนสุดท้ายก่อนการรัฐประหารใช้งบประมาณซื้อสื่อผ่านสำนักนายกฯ ประมาณ 1,100 ล้านบาท ส่วนรัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้งบประมาณในช่วง 9 เดือนแรกประมาณ 2,848.5 ล้านบาท และในเดือนกันยายนซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของปีงบประมาณใช้ไปถึง 399.3 ล้านบาท วิธีการของรัฐในการปิดกั้นสื่อเปลี่ยนแปลงไปเป็นการซื้อสื่อ เช่นนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้สื่อเลือกข้างหรือไม่ หรือสื่อจะรักษาจรรยาบรรณได้อย่างไร และการกระทำเช่นนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 45 วรรคท้ายหรือไม่”
“สื่อไทย” มีเสรีภาพภายใต้วัฒนธรรมอำนาจ
ขณะที่ผอ.เว็บไซต์ประชาไท กล่าวว่า ที่ผ่านมาสื่อไทยเคยอยู่ในอันดับที่มีเสรีภาพบ้าง แต่นับตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 อันดับก็ตกลงมาเรื่อยๆ เพราะการมีเสรีภาพบนอินเทอร์เน็ตน้อยลง มีการปิดกั้นเว็บไซต์ โดยนำพ.ร.บ.คอมฯ มาบังคับใช้ร่วมกับ กฎหมายมาตรา112 ทำให้สถานการณ์ความน่าหวาดกลัวอยู่ในภาวะล่อแหลม
“แม้สถานการณ์ประจำสื่อจะดูมีเสรีภาพ สามารถนำเสนออะไรก็ได้ แต่เป็นเสรีภาพภายใต้วัฒนธรรมอำนาจ สอดคล้องกับสังคมไทยที่เป็นวัฒนธรรมอำนาจ มีทั้งอำนาจรัฐ อำนาจรัฐบวกศาล อำนาจปืน และอำนาจทุน เหล่านี้ทำให้การทำงานของสื่อสารมวลชนไทย ไม่ใช่แค่รัฐที่ไม่พอใจ แต่รวมประชาชนด้วย ทำให้เกิดกระบวนการที่ประชาชนเลือกเสพสื่อ หรือสร้างสื่อเอง”
ผอ.เว็บไซต์ประชาไท กล่าวต่อว่า สิ่งที่เป็นปัญหาของสื่อไทย คือ พยายามทำงานตอบสนองความพอใจ ที่เป็นสิ่งไม่มีเส้นมาตรฐาน เช่นนั้นแล้ว เสียงของคนรับสารจึงมีความหมาย ในการกำกับให้สื่อทำหน้าที่อย่างพอดีและพอใจ แต่สื่อก็ไม่ควรตามกระแสตลอด ทั้งนี้ การคุ้มครองเสรีภาพสื่อ ก็เป็นการคุ้มครองเสรีภาพของประชาชน
สื่อไซเบอร์ หากจะโดนปิดกั้น เพราะแสดงความเห็นลุกล้ำสิทธิ-วิจารณ์สถาบัน
ด้านนายประสงค์ กล่าวว่า หากพูดถึงการแทรกแซง หรือปิดกั้นสื่อของรัฐบาลที่ผ่านมา เมื่อแบ่งสื่ออกเป็น 3 ประเภท คือ หนังสือพิมพ์ ที่แทบไม่มีการแตะต้อง การใช้อำนาจรัฐ หรือใช้กฎหมายมาเล่นงานสื่อ ส่วนวิทยุโทรทัศน์ก็เช่นเดียวกัน แทบไม่มีการแตะต้อง ยกเว้นกรณีของพีทีวี สำหรับอินเทอร์เน็ต ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าโดนปิดกั้นส่วนมากไม่ใช่การวิจารณ์ทางการเมือง แต่เป็นการวิจารณ์สถาบัน ซึ่งพบมากขึ้นเรื่อยๆ
“เมื่อมีการถกเถียง วิพากษ์วิจารณ์สถาบันมากเช่นนี้แล้ว การแก้ปัญหา คือ ต้องพูดคุยกันให้ชัดว่าจะเอาอย่างไร เนื่องจากขณะนี้มีกลุ่มที่สุดโต่งทั้ง 2 ฝ่ายอยู่จำนวนมาก ฉะนั้น สื่ออินเทอร์เน็ต จึงเป็นเหตุที่ทำให้ตัวเลขเสรีภาพสื่อในประเทศเราตกลง ส่วนสื่อทีวีจะเห็นได้ว่าโดนหนักทั้ง 2 รัฐบาล จึงไม่มีความแตกต่าง”
กรรมการปฏิรูปกฏหมาย กล่าวต่อว่า การนำเสนอข่าวของสื่อเป็นการนำเสนอข้อเท็จจริง เนื่องจากความจริงเป็นสิ่งที่หาได้ยาก จึงมักมีการละเมิดสิทธิเกิดขึ้น การแสดงความเห็นจึงต้องคำนึงเสมอว่าไม่ควรลุกล้ำสิทธิของผู้ที่จะนำเสนอจนเกินไป เช่นกรณีการใช้อินเทอร์เน็ต ในโลกไซเบอร์การแสดงความเห็นสามารถทำได้เป็นเรื่องปกติ หากแต่การแสดงความคิดเห็นนั้นจะไปลุกล้ำผู้อื่น หรือใช้ถ้อยคำรุนแรงก็ต้องยอมรับ การวิพากษ์วิจารณ์จึงต้องเป็นไปตามหลักการ เหตุผลหรือความถูกต้อง สังคมไทยทุกวันนี้ยังยอมรับสิ่งเหล่านี้ว่าไม่เป็นปัญหา จึงยังไม่ถึงจุดที่จะลุกขึ้นมาพูดคุยหรือถกเถียงเพื่อหาทางออกอย่างจริงจัง
สื่อมวลชนไทยเป็น “ประชาธิปไตยได้เพียงในกระดาษ”
ส่วนรศ.อุบลรัตน์ กล่าวว่า ประเทศเราเป็นประชาธิปไตย แต่สื่อมวลชนในบ้านเราไม่ค่อยถูกประกาศให้เป็นประชาธิปไตย เป็นประชาธิปไตยได้เพียงในกระดาษ แต่ในทางปฏิบัติรัฐอยากให้สื่อรับใช้อำนาจรัฐและอุดมการณ์ของรัฐมากกว่า การทำหน้าที่ของสื่อจึงลำบาก เมื่อสังคมมีความสัมพันธ์เชิงวัฒนธรรมการเมืองและเศรษฐกิจ มีอำนาจที่แตะต้องไม่ได้ ส่วนข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่าสื่อไม่อยู่ในจรรยาบรรณ ละเมิดหรือหมิ่นประมาท เพราะสื่อเหล่านั้นเป็นสถาบันทางสังคม และเป็นอุตสาหกรรมที่มีเศรษฐกิจของตนเอง มีการขยายตัวและเติบโตด้วยการแสวงหากำไรจากการขายเนื้อหาและโฆษณา ทำให้อำนาจของสื่อมีสูงทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม ยิ่งสื่อกระแสหลักเติบโตมากเท่าไหร่ยิ่งควบคุมได้ยาก
“สื่อมีอำนาจเหนือคนที่เล็กกว่า แต่มีอำนาจน้อยและยอมคนที่มีอำนาจเหนือกว่า แต่เสียงเล็กๆ ของประชาชนที่เห็นว่าการมีใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคลสามารถสะท้อนให้เกิดผลอะไรบางอย่างต่อสังคมได้ หากสื่อไม่พอดี เสียงเหล่านี้ก็ต้องช่วยกันถากถางให้สื่อพอดี รักษาจรรยาบรรณและไม่อยู่ภายใต้อำนาจ” รศ.อุบลรัตน์ กล่าว และว่า แท้จริงแล้วสื่อไม่ควรจะไปด้วยกันกับรัฐได้ ต้องมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์บ้าง หากรัฐยังควบคุมกำกับสิทธิเสรีภาพสื่อก็จะเหมือน “นกในกรง” แต่ถ้ารัฐส่งเสริมสิทธิเสรีภาพก็น่าสนับสนุน
“สื่อที่อยู่ในเศรษฐกิจต้องมีความสมดุลกันระหว่างคนซื้อ ผู้อุดหนุนและอุปถัมภ์ มีความสมดุลระหว่างเงินโฆษณาและยอดขาย เพราะหากให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอุดหนุนมาก สื่อก็จะขาดความเป็นอิสระ”
สื่อจำกัดตนเอง เพราะเกรงกลัวบางอย่าง
ส่วนผศ.วนิดา กล่าวว่า แม้จะกล่าวกันว่ารัฐบาลไม่ได้แทรกแซงสื่อ แต่สื่อกระแสหลักมักจะนำเสนอข่าวทิศทางเดียวกัน สัมภาษณ์คนเดียวกัน สรุปข้อมูลเดียวกัน สภาพเช่นนี้ เพราะสื่อจำกัดการนำเสนอของตนเอง ด้วยความเกรงกลัวอะไรบางอย่าง ทำให้ประชาชนต้องแสวงหาช่องทางอื่นๆ ที่แตกต่างออกไป หากสื่อสามารถกำหนดจุดยืนของตนเองว่าจะทำหน้าที่สื่อภายใต้จรรยาบรรณวิชาชีพโดยไม่สนใจว่าใครเป็นรัฐบาล หรือมีอำนาจรัฐอยู่ในมือ ก็จะเป็นเกราะที่ป้องกันสื่อไปพร้อมๆ กัน โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย
“หากถามว่าสื่อเลือกข้างได้หรือไม่ โดยส่วนตัวคิดว่าการประกาศตัวชัดเจนว่าสื่อเลือกข้างใดเป็นสิ่งที่ดีสำหรับประชาชนด้วยซ้ำ แต่ภายใต้ความเลือกข้าง ต้องเปิดโอกาสให้อีกข้างมีโอกาสโต้แย้ง และแสดงหลักฐานด้วย”