ผนึกกำลังเสนอข้อเรียกร้อง “สังคมปรองดองต้องข้ามความขัดแย้ง”
-
องค์กรภาคธุรกิจ จับมือองค์กรวิชาชีพสื่อ เห็นพ้อง ต้องก้าวข้ามความรุนแรงทางการเมืองให้ได้ ก่อนพัฒนาประเทศให้เดินหน้าต่อ หวั่นนักลงทุนอาจก้าวข้ามไทยไปประเทศอื่น
วันที่ 20 มิถุนายน สมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย จัดแถลงข่าว “ก้าวข้ามความรุนแรงสู่สังคมปรองดอง” เพื่อเสนอข้อเรียกร้องต่อพรรคการเมืองและกลุ่มทางการเมือง ณ ห้องกมลทิพย์ ชั้น2 โรงแรมสยามซิตี้ พญาไท กทม.
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การก้าวข้ามความรุนแรงสู่สังคมปรองดองมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมา ไทยจมปลักอยู่กับความขัดแย้งจนเกิดความรุนแรง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ภาคอุตสาหกรรมจำนวนมากขาดความมั่นใจ ไม่กล้าเข้ามาลงทุน ไม่กล้าเดินหน้าโครงการต่างๆ ทั้งยังมองประเทศไทยด้วยความสงสัย รอว่าเมื่อไหร่ความขัดแย้งจะหมดไป ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเป็นเป้าหมายหนึ่งที่นักลงทุนจากทั่วโลกอยากจะเข้ามาลงทุน
“เป็นห่วงกันว่า การเลือกตั้งอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการเดินหน้าประเทศไทย แต่มีสิ่งบอกเหตุเกิดขึ้นหลายอย่างว่า ความขัดแย้งจะยังมีอยู่และมีมากขึ้น หลังจากเลือกตั้งไปแล้วจะเกิดขึ้นอะไรอีก สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบไปทั่วโลก รวมถึงนักลงทุนที่ไม่กล้าเข้ามาลงทุน ต้องรอ และนักลงทุนอาจข้ามไปลงทุนในประเทศอื่นได้”
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ในปี 2015 จะเกิดประชาคมอาเซียน เงินทุนไหลเวียนอย่างอิสระ ทั้งการจ้างงาน และภาคการเงินทั้งหลาย แม้ว่าประชาคมนี้จะมีประชากรถึง 600 ล้านคน เป็นตลาดที่ใหญ่มากและเป็นโอกาสของไทย แต่ถ้าเรายังไม่สามารถก้าวข้ามความขัดแย้งไปได้ ถึงเวลานั้น ทุกคนไม่เฉพาะภาคธุรกิจ การแข่งขันของประเทศก็จะเกิดความเสียหายไปด้วย ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่จะต้องตั้งสติ กลับสู่ความปรองดองทำให้ประเทศเกิดความสงบสุข
ด้าน นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการ สมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจมาก เราได้สามารถพัฒนาความล้าหลังจาก30ปีก่อนจนมาถึงจุดนี้ได้ด้วยศักยภาพของเรา และด้วยความร่วมมือของนักลงทุนต่างชาติ แม้ 4-5 ปีที่มาจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในระดับโลก ไทยก็ยังสามารถนำพาชาติเดินหน้าต่อไปได้ ขณะเดียวกันความรุนแรงที่เกิดขึ้นช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ก็เป็นตัวการสำคัญที่ฉุดเศรษฐกิจไทยไม่สามารถเจริญเติบโตได้
“ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ควรจะมีการยุติได้แล้ว ทุกฝ่ายต้องคุยกันเพื่อหาข้อยุติร่วมกัน ซึ่งจากการได้ติดตามสถานการณ์การเลือกตั้งอย่างใกล้ชิด ประเมินดูแล้วยิ่งใกล้เลือกตั้ง อาจจะนำไปสู่รัฐประหารและความรุนแรงเพิ่มขึ้น ความเสียหายไม่ใช่ของนักธุรกิจ เป็นความเสียหายของชาติและของคนไทยทุกคน ดังนั้น การปรองดองเป็นเรื่องจำเป็น แม้จะต้องใช้เวลา ซึ่งส่วนตัวไม่เชื่อว่าจะเกิดความสมานฉันท์ได้แค่เพียงออกฎหมาย 1-2 ฉบับ หรือออกกฎ 1-2 เรื่อง ดังนั้นอยากจะขอให้คนไทยตั้งสติ หาทางเยียวยา ในที่สุดชาติเราก็จะพัฒนาไปตามศักยภาพที่มีและจะไปได้ไกลมาก”
ขณะที่นายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กว่า 5 ปีแล้วที่ประเทศไทยเสียโอกาสการลงทุน การท่องเที่ยว หรือโอกาสเป็นผู้นำในอาเซียน ภาคธุรกิจขมขื่นอยู่กับความขัดแย้ง นักการเมืองคิดแต่จะเอาชนะกัน ถึงเวลาแล้วที่นักการเมืองที่เข้ามาอาสาบริหารประเทศจะต้องมองการไกล สมานฉันท์ปรองดองเพื่อประเทศ เลิกเอาชนะกันได้แล้ว มิเช่นนั้น ในที่สุดประเทศก็จะเหลือแต่ซากปรักหักพัง
“นักการเมืองที่อาสามาบริหารประเทศต้องรักชาติอย่างแท้จริง ไม่ใช่รักแต่ปาก ต้องพร้อมเสียสละ ทำงานเพื่อส่วนรวม สร้างพลังสามัคคีให้เกิดขึ้นในชาติ การเปลี่ยนแปลงของโลกเกิดขึ้นเร็วมาก ถ้ามัวแต่ทะเลาะกัน ขัดแย้งกัน ชาตินี้ทั้งชาติเจริญไม่ได้ ดังนั้นต้องใช้ความสามัคคีและพลังของคนในชาติเป็นที่ตั้งในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน”
สำหรับ นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวถึงความเสี่ยงด้านการเมือง ในอดีตนักลงทุน นักธุรกิจไม่เคยสนใจ แต่วันนี้ได้กลายเป็นความเสี่ยงอันดับ1ของไทย นักลงทุนต่างประเทศถามถึงความคืบหน้าการเมืองตลอด ซึ่งตรงนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดทุน และเศรษฐกิจไทยโดยรวม
“เมื่อมีความเสี่ยงด้านการเมืองเข้ามาทำให้นักลงทุนไม่สามารถมองภาพระยะยาวของประเทศได้ ผลกระทบที่ตามมาทำให้เม็ดเงินที่ควรจะเข้ามาเต็มศักยภาพจะน้อยลงและไม่สามารถนำมาพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตได้ ดังนั้นเราต้องรีบดึงประเทศไทยกลับมาอยู่แถวหน้าของภูมิภาคนี้ให้ได้อย่างที่เคยเป็นมาในอดีต"
จากนั้น 5 องค์กรหลักภาคธุรกิจ และ 2 องค์กรวิชาชีพสื่อ ได้หารือร่วมกันจนได้ข้อสรุป ในการเสนอข้อเรียกร้อง 3 ประการ ดังนี้
1. พรรคการเมืองทุกพรรค รวมถึงกลุ่มการเมืองทุกกลุ่มต้องยอมรับผลการเลือกตั้งและหลีกเลี่ยงหรือไม่ดำเนินการด้วยประการใดๆ ที่จะนำประเทศกลับไปสู่ความรุนแรงทุกรูปแบบ
2. พรรคการเมืองทุกพรรคต้องแสดงเจตจำนงทางการเมืองว่า จะให้ความสำคัญกับกระบวนการลดความขัดแย้งอันจะนำไปสู่ความปรองดองของประเทศ โดยให้ถือเป็นสัญญาประชาคมว่าหลังการเลือกตั้งจะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน
3. การสร้างความปรองดองจะต้องดำเนินการโดยองค์กรที่เป็นอิสระและไม่ใช่คู่ขัดแย้ง โดยมีกระบวนการที่เหมาะสมและเป็นธรรม