กระบวนการยุติธรรม 4ฝ่ายขู่เชือดสื่อเสนอข่าว-ภาพละเมิดสิทธิเด็ก
หลังพรบ.ศาลเยาวชนฯ ฉบับใหม่ มีผลบังคับใช้ อุปนายกด้านจริยธรรม สภาทนายความ เผยประชุม 4 ฝ่าย เสนอเชือดไก่ให้ลิงดู กับสื่อที่ลงข่าวละเมิดสิทธิผู้กระทำความผิด เด็ก-ผู้หญิงถูกข่มขืน แล้วยังถูกข่มขืนซ้ำหน้าจอทีวี
เมื่อเร็วๆ นี้ นายเจษฏา อนุจารี อุปนายกด้านจริยธรรม สภาทนายความ และรองประธานคนที่ 2 และประธานคณะอนุกรรมการจริยธรรมและรับเรื่องร้องเรียน สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย กล่าวในงานสัมมนา “รายงานข่าวอย่างไรไม่ให้ตกเป็นจำเลย” จัดโดยสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ณ ห้องอิศรา อมันตกุล ชั้น 3 อาคารสมาคมนักข่าวฯ ถ.สามเสน ถึงข้อกฎหมายและบทลงโทษต่างๆ ที่จำเป็นต่อการทำงานวิชาชีพข่าวและสื่อมวลชน รวมทั้งจริยธรรมและความรับผิดชอบในการนำเสนอข่าว
นายเจษฏา กล่าวถึงพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 ฉบับใหม่ ว่า ได้มีประเด็นปัญหาที่ถกเถียง และตีความกันมากในการประชุม 4 ฝ่าย ระหว่างศาล อัยการ ตำรวจ และสภาทนายความ ช่วงที่ผ่านมาจะทำอย่างไรถึงให้อยู่ในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะการนำปัญหาการนำเสนอข่าวผู้กระทำความผิด เด็กที่กระทำผิด หรือผู้หญิงโดนข่มขืน แล้วยังถูกข่มขืนซ้ำทางหน้าจอทีวีอีก
“ในการประชุม 4 ฝ่าย มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า เพราะกระบวนการยุติธรรมไม่เคยเอาคนที่เป็นสื่อ ลงข่าวละเมิดสิทธิเหล่านี้มาลงโทษเป็นตัวอย่าง และมีความเห็นว่า ควรมีการทำเป็นตัวอย่าง คือ เชือดไก่ให้ลิงดูจะได้รู้ว่า วันหลังอย่างทำ เพราะเป็นความผิดหมด”
อุปนายกด้านจริยธรรม สภาทนายความ กล่าวว่า ที่ผ่านมายอมรับสื่อยังไม่มีความระมัดระวังเพียงพอในการนำเสนอข่าวเด็กที่กระทำผิด หรือถูกข่มขืน ขณะที่กระบวนการแถลงข่าวของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ออกทางสื่อ ทั้งการให้ผู้กระทำผิดคาบไม้บรรทัด จับคนพิการที่กระทำผิดมาโชว์ นั้น ยิ่งเมื่อสื่อนำไปเล่าข่าวแล้วเชียร์ซ้ำไปอีก ก็ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยอีกทางหนึ่ง
และในฐานะที่ดูแลเรื่องความรับผิดชอบของสื่อ นายเจษฏา กล่าวว่า เรื่องเสรีภาพและความรับผิดชอบต้องควบคู่กัน คนไทยเวลาพูดถึง “สิทธิ” แต่ไม่พูดถึง “หน้าที่” โดยในรัฐธรรมนูญมาตรา 28 บอกว่า บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น หมายความว่า เราต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพของคนอื่นด้วย ไม่เป็นปฏิปักษ์ หรือขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน
“หรือรัฐธรรมนูญมาตรา 45-46 รับรองเสรีภาพสื่อไว้เต็มที่ ทั้งเสรีภาพในการสื่อสาร การโฆษณา การแสดงความคิดเห็น รัฐบาลจะมาห้ามไม่ได้ ปิดไม่ได้ หรือแม้กระทั่งมาตรา 46 พนักงานสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ โดยที่เจ้าของกิจการสื่อไม่มีจะเข้ามาควบคุมดูแล”ปธ.อนุกรรมการจริยธรรมและรับเรื่องร้องเรียน สภาวิชาชีพข่าววิทยุฯ กล่าว และว่า ดังนั้น เมื่อมีการรับรองสิทธิเสรีภาพสื่อไว้อย่างนี้ เราก็ต้องเคารพสิทธิเสรีภาพของคนอื่นๆ ซึ่งในรัฐธรรมนูญเขียนเสรีภาพของใครไว้อย่างไร สื่อก็ต้องไปดูด้วย โดยต้องไม่เลือกปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของเชื้อชาติ ถิ่นกำเนิด ภาษา เพศอายุ ความพิการ สภาพทางกาย หรือสุขภาพ หรือสถานะบุคคล สถานะทางเศรษฐกิจ ความเชื่อทางศาสนา การศึกษา อบรม หรือแม้กระทั่งความคิดเห็นทางการเมืองที่ไม่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
นายเจษฏา กล่าวถึงมาตรา 35 วรรค 2 บอกว่า การกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย ซึ่งข้อความหรือภาพ ไม่ว่าด้วยวิธีใดไปยังสาธารณชน อันเป็นการละเมิดหรือกระทบถึงสิทธิบุคคลในครอบครัว เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวจะกระทำมิได้ รวมทั้งกรณีแอนนี่บรู๊ค ที่มีการนำเด็กมาออกสื่อ เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับครอบครัว เกี่ยวข้องกับเกียรติยศ ชื่อเสียง หรือความเป็นอยู่ส่วนตัว ขณะที่ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 บอกว่า รัฐต้องส่งเสริมสัมพันธไมตรีและความร่วมมือกับนานาประเทศ และพึงถือหลักในการปฏิบัติต่อกันอย่างเสมอภาค ตลอดจนปฏิบัติตามสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี ซึ่งเรามีอนุสัญญาว่าด้วยเรื่องสิทธิเด็ก เรื่องต่อต้านความรุนแรงในครอบครัว สิ่งเรานี้เราต้องเคารพด้วยเช่นกัน
“พ.ร.บ ประกอบกิจการวิทยุและโทรทัศน์ มีบทมาตราที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับสื่อ จะพยายามให้สื่อรวมตัวกันและสามารถที่จะใช้จรรยาบรรณในด้านวิชาชีพมาควบคุมสื่อด้วยกัน ดังนั้นหลักกฎหมายทั้งหมด ไม่ว่าจะอยู่ในรัฐธรรมนูญ หรือให้สื่อรวมตัวใช้จริยธรรมควบคุมกันเอง หรือแม้กระทั้งในพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ฉบับปี 2553 ก็มีการพูดถึงเรื่องการส่งเสริมในเรื่องจริยธรรมของสื่อ”
นายเจษฏา กล่าวด้วยว่า จริยธรรม เป็นมาตรฐานขั้นสูง ที่สูงกว่ากฎหมายปกติ และน่าแปลกเรื่องจริยธรรม เราไปใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งฝรั่งเห็นแล้วก็ขำ เพราะเรื่องจริยธรรมทั้งหลาย ทั้งของนักการเมือง สื่อไม่ได้อยู่ที่ตัวหนังสือ ไม่ได้อยู่ที่ข้อบังคับ แต่อยู่ที่การทำงานของสื่อที่ทำงานและต้องสำนึกอยู่ตลอดเวลา ว่า เราทำงานในฐานะเป็นสื่อจะไปกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของคนอื่นหรือไม่ โดยจะต้องระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา เสมือนหนึ่งเป็นการเอาหัวอกเขามาใส่หัวอกเรา เชื่อว่าจะทำให้สามารถทำงานสื่อได้โดยไม่ผิดจรรยาบรรณ