ชัยอนันต์ สมุทวณิช คลายปม "ขุมทรัพย์พรรคการเมือง”
"สมัยก่อนพรรคการเมืองเข้าไปคุม กรม กระทรวงต่างๆ
การดำเนินการโครงการต่างๆ อย่างดีก็หาผลประโยชน์ด้วยการกินเปอร์เซนต์
สมัยหลังๆ เป็นการสมคบตั้งโครงการเพื่อหากินโดยตรง"
วันที่ 29 พฤษภาคม ศ.ชัยอนันต์ สมุทวณิช อดีตกรรมการปฏิรูป ปาฐกพิเศษหัวข้อ "ขุมทรัพย์พรรคการเมือง” ในเวทีอภิปรายราชดำเนินเสวนา จัดโดยสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ร่วมกับศูนย์ข้อมูล&ข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง เว็บไซต์ข่าวสืบสวน www.tcijthai.com ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
ศ.ชัยอนันต์ กล่าวว่า ในระบอบประชาธิปไตย พรรคการเมืองไทยเป็นกลไกสำคัญที่สุดในการคัดเลือกบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง เคลื่อนไหวในประเด็นสำคัญๆ ทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และจัดทำนโยบายเพื่อเรียกการสนับสนุนจากประชาชน ขณะเดียวกันพรรคการเมืองยังมีหน้าที่ให้การศึกษาทางการเมือง จัดกิจกรรมทางการเมืองเพื่อประโยชน์ของสาธารณชน แต่ทำไมพรรคการเมืองไทยจึงทำหน้าที่เหล่านี้ได้ไม่สมบูรณ์นัก มุ่งเน้นไปในเรื่องของการแข่งขันในการเลือกตั้งอย่างเดียว โดยเรื่องอื่นไม่ได้ให้ความสนใจมาก แม้ว่าในสมัยหลังๆ จะเริ่มมีการจัดทำนโยบายเสนอนโยบายที่มีความชัดเจนมากกว่าในอดีตแล้วก็ตาม
สำหรับเหตุที่พรรคการเมืองยังไม่สามารถเป็นสถาบันหลักทางการเมืองได้นั้น ศ.ชัยอนันต์ กล่าวว่า มีเหตุผลหลายประการ 1.ต้องย้อนกลับไปดูความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ดูพรรคการเมืองต้องดูด้วยว่า มีกำเนิดมาอย่างไร แล้วจะเห็นว่า พรรคการเมืองในประเทศไทยแปลกกว่าที่อื่น เพราะประชาชนไทยได้สิทธิเลือกตั้งทันที ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 โดยที่ยังไม่มีพรรคการเมือง พรรคการเมืองมาเริ่มมีเมื่อ พ.ศ. 2495 ที่มีพระราชบัญญัติพรรคการเมือง
“ที่น่าสนใจ ทำไมสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่ได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญแล้ว ทำไมจึงต้องมีพ.ร.บ.ซ้อนขึ้นมาอีก ซึ่งไม่มีพ.ร.บ.พรรคการเมืองก็น่าจะเกิดขึ้นได้ แต่มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ว่า ในช่วงที่มีการเรียกร้องให้มีรัฐธรรมนูญ มีประชาธิปไตยสมัยแรกๆ ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 6 รัชกาลที่ 7 เป็นต้นมา เราพบว่า พระมหากษัตริย์สมัยนั้นเกือบทุกพระองค์ ทรงเห็นด้วยกับการที่บ้านเมืองจะมีรัฐธรรมนูญ แต่สิ่งที่เป็นประเด็นปัญหาก็คือ มีการตั้งคำถามว่า หากมีรัฐธรรมนูญแล้ว ก็ต้องมีพรรคการเมือง พรรคการเมืองในประเทศไทยจะมาจากไหน ใครจะเป็นผู้สนับสนุนพรรคการเมือง ลำพังประชาชนโดยทั่วไปสมัยนั้นยังเป็นชาวนาอยู่ กระจัดกระจายคงไม่สามารถตั้งพรรคการเมืองได้
ดังนั้น พรรคการเมืองก็คงมาจากส่วนธุรกิจขนาดเล็ก ประกอบด้วยคนจีนส่วนใหญ่ ซึ่งก็มีความกังวลที่ว่า ถ้าให้มีประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้ง พรรคการเมืองคงเป็นพรรคคนจีนเท่านั้น
เราลองมาสังเกตพรรคการเมือง อะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ก็คือการจัดตั้ง หรือที่เราเรียกว่า องค์กร มีการเคลื่อนไหว ในขณะนั้นในสังคมไทยที่มีการจัดตั้งดีที่สุด คือคนจีนที่เป็นชนกลุ่มน้อย มีการปกครองตนเอง โดยรัฐบาลเรียกว่า อั่งยี่ ซึ่งเป็นลักษณะการดำเนินการแบบพรรคการเมือง มีการจัดตั้งมีหัวหน้า มีพลพรรค มีการเรียกเก็บค่าบำรุง ที่ได้จากการคุ้มครอง
เราจึงมีพ.ร.บ อั่งยี่ ต่อมากลายเป็นพ.ร.บ สมาคม ห้ามสมาคมทำกิจการเกี่ยวกับการเมือง
เราจะเห็นว่า ความกลัวพรรคคนจีน มามีอิทธิพลต่อพรรคการเมือง เป็นความกลัวที่เกิดขึ้นสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 แล้ว คณะราษฎรก็ยังไม่ยอมให้มีพรรคการเมือง แม้จะมีผู้ขอก่อตั้งคณะชาติ ก็ไม่ยอม พรรคการเมืองจึงไม่ได้รับการจัดตั้งขึ้นมา
ผมมั่นใจว่า คณะราษฎรเองก็กลัวพวกเจ้าเหมือนกัน เพราะมีกำลังเงินมากพอในการจัดตั้งพรรคการเมือง และความกลัวคนจีนที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจ มามีอำนาจทางการเมืองด้วย จะเห็นว่า กลุ่มอิทธิพลและกลุ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ จึงถูกแยกตัวออกจากการเมือง
นี่คือสาเหตุหนึ่ง ทำไมกลุ่มธุรกิจและกลุ่มผลประโยชน์พยายามเข้าถึงอำนาจทางการเมืองได้ ด้วยอีกวิธีหนึ่ง
2. สภาวะทางการเมืองของสังคมไทย ไม่มีปัจจัยใดเลยเอื้อให้ประชาชน เกิดความรู้สึก หรือเกิดความจำเป็นว่า ต้องมีส่วนร่วมทางการเมือง ต้องมีสิทธิ มีเสียงทางการเมือง
ผิดกับบางประเทศที่ตกเป็นเมืองขึ้น มีขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราช ซึ่งจำเป็นต้องต่อสู้กับอำนาจของเจ้าอาณานิคม บรรดาผู้นำจำเป็นต้องลงไปหามวลชน ไปหาการสนับสนุนจากคน ทั้งในอินเดีย อินโดนีเซีย พม่า มาลายู ขบวนการเคลื่อนไหวเหล่านี้สามารถต่อยอดเมื่อประเทศเหล่านั้นได้อิสรภาพแล้ว การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศเหล่านี้ต่อเนื่องมากพอสมควร
แต่สำหรับประเทศไทย เราไม่มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบนี้ แท้ที่จริงแล้วในชีวิตประจำวันของคนไทย แทบไม่มีกิจกรรมร่วมกันทางการเมือง ไม่มีความรู้สึกร่วมกันในอดีตที่จำเป็นต้องมารวมตัวกันเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง
3.การเมืองไทยล้มลุกคลุกคลาน มีการแทรกแซงของทหารอยู่เป็นระยะๆ แม้ว่า 2495 จะมีพรรคการเมืองแล้วก็ตาม พรรคการเมืองก็อยู่แป๊บเดียว สั้นๆ ยังไม่ได้สามารถแสดงให้ประชาชนเห็น พรรคการเมืองสำคัญ หรือจำเป็น ถูกยุบไป บางช่วง เช่น การยึดอำนาจของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชย์ ทำให้ประเทศไทยไม่มีพรรคการเมืองถึง 11 ปี
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ก็ทำให้เราพบว่า เมื่อมีการตั้งพรรคการเมือง พรรคการเมืองเหล่านั้นจึงตั้งมาเพื่อวัตถุประสงค์ในการแข่งขันการเลือกตั้ง ผู้นำพรรคก็ไม่มีเวลาพิสูจน์ตัวเองว่า ความเป็นผู้นำของเขามีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งในต่างประเทศภาวะผู้นำของพรรคการเมืองจะถูกบททดสอบ เช่น พรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่ต้องต่อสู้ มีการผลัดเปลี่ยนผู้นำพรรคการเมืองเป็นระยะๆ จนกระทั่งภาวะผู้นำทางการเมืองได้รับการยอมรับ จากคนในพรรค และประชาชนทั่วไป
แต่ของไทยภาวะผู้นำของพรรคการเมือง เปราะบางมาก เป็นได้ไม่เท่าไหร่ คนก็เริ่มเบื่อแล้ว เมื่อมีการเปลี่ยนผู้นำก็ไม่รู้สึกกระทบกระเทือน
ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นว่า พรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามา ปีแรกๆ ต้องเผชิญกับระบบราชการ นโยบายส่วนใหญ่ของประเทศ ถูกกำหนดโดยระบบราชการ ในอดีต จนกระทั่งถึงปี 2535 เราจะเห็น กลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มอิทธิพล พ่อค้าก็ไปเดินสายกับทางระบบราชการแทน
ผิดจากต่างประเทศที่ กลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มอิทธิพล จะล็อบบี้พรรคการเมือง
การเดินสาย 2 กระแส กระแสหนึ่งกลุ่มอิทธิพล ผลประโยชน์ ไปตกลงต่อรองกับข้าราชการ โดยไม่ใยดีพรรคการเมืองสมัยนั้น เพราะว่า อำนาจของพรรคการเมืองยังไม่มีแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่นานก็เกิดรัฐประหาร ถูกยุบ
เราจะเห็นกลุ่มอิทธิพล กลุ่มผลประโยชน์ ไปดำเนินการล็อบบี้ระบบราชการ ผู้ที่ต่อมาภายหลังเข้ามาทำงานทางการเมืองนั้น ส่วนหนึ่งก็เป็นพ่อค้าที่เคยเดินงานกับหน่วยงายราชการอยู่ในฐานะผู้รับเหมา ไม่ว่า เรื่องการสร้างทาง การจัดซื้อทางราชการ
เมื่อมาดูลักษณะทางสังคม ที่เกี่ยวกับประชาชนโดยทั่วไป แทนที่พรรคการเมืองจะไประดมประชาชน หรือประชาชนจะเข้ามาร่วมกับพรรคการเมือง กลับไม่ได้เข้ามาเป็นสมาชิกพรรคการเมืองอย่างหนาแน่น หรือกระตือรือร้น ทำให้พรรคการเมืองไม่สามารถพัฒนาเป็นพรรคมวลชนได้ เพราะสังคมไทยมีพัฒนาการของเอ็นจีโอ กลุ่มนิสิต นักศึกษา เอ็นจีโอ เลือกที่จะไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง
และมีการดำเนินการเป็นของตนเอง ทำให้มวลชนส่วนหนึ่งที่เดือดร้อน มีความคิดเห็นคล้ายกันในบางเรื่อง การรณรงค์นโยบายบางอย่างกลายเป็นบทบาทเอ็นจีโอ องค์กรอาสาสมัคร องค์กรประชาสังคม
ด้วยเหตุนี้พรรคการเมืองก็เลย ลอยตัว
ในระยะหลังๆ เมื่อระบบราชการเสื่อมอำนาจลง ทหารไม่เข้ามาแทรกทางการเมืองได้ง่ายนัก ผู้ที่เข้าไปอยู่ในพรรคการเมืองก็สบโอกาส เข้าไปเกี่ยวข้องกับงบประมาณของรัฐได้มากขึ้น นอกจากไปหาผลประโยชน์จากงบประมาณของรัฐแล้ว ยังเข้าไปควบคุมกิจการของรัฐวิสาหกิจที่มีงบลงทุนจำนวนมากอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ พรรคการเมืองเลยประกอบไปด้วย บุคคล 2 ประเภท ประเภทแรก ผู้เกี่ยวพันกับอำนาจรัฐ เช่น ได้รับสัมปทานจากรัฐ หรือไม่ได้ผลิตสินค้าที่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค ไม่ได้ผลิตเครื่องดื่ม ยา เป็นต้น คนเหล่านี้จำเป็นต้องหาผลประโยชน์จากงบประมาณของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ ประเภทที่สอง ผู้ที่มีกิจการเป็นของตนเอง ไม่จำเป็นต้องพึ่งอำนาจรัฐมากนัก เข้ามาเป็นสมาชิกสนับสนุนพรรคการเมือง ให้ทุนพรรคการเมือง และไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยอำนาจทางการเมือง
ในประชาธิปัตย์เอง การก่อตั้งโดยคณะบุคคลที่เป็นอดีตข้าราชการ และพวกเจ้าของที่ดินบ้านเช่า ขายยา ขายลูกอม ทำให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นอิสระไม่เกี่ยวกับทางราชการมากนัก จนสมัยหลังๆ ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการจัดที่ดิน สปก.-4-01
แต่ว่ามี บางพรรคมาจากผู้หาผลประโยชน์จากงบประมาณอย่างต่อเนื่องยาวนาน เช่น พรรคชาติไทย ส่วนพรรคไทยรักไทย ก็มีสัดส่วนของผู้ได้รับสัมปทานจากรัฐ เรียกว่า เป็นพรรคแบบหุ้นส่วน มีการเรียกระดมเงินจากผู้ที่อยู่ในวงการธุรกิจ
คนเหล่านี้จึงมีนโยบายผลักดันการค้าเสรีอย่างสุดโต่ง เป็นผลประโยชน์ให้กับบุคคลเหล่านี้ได้ โดยปรับนโยบายให้เข้ากับผลประโยชน์ของตัว จึงเป็นที่มาแห่งคำพูดที่ว่า “คอร์รัปชั่นทางนโยบาย”
พรรคการเมืองที่เข้ามาประโยชน์จากนโยบาย จากโครงการใหญ่ ๆ เป็นปรากฎการณ์ค่อนข้างใหม่สำหรับการเมืองไทย ระยะเวลา 20 ปีเท่านั้น ก่อนหน้านี้ การเข้ามาหาผลประโยชน์จากงบประมาณของรัฐ ซึ่งไม่หนักหน่วงเท่าปัจจุบัน
สมัยก่อนพรรคการเมืองเข้าไปคุม กรม กระทรวงต่างๆ การดำเนินการโครงการต่างๆ อย่างดีก็หาผลประโยชน์ด้วยการกินเปอร์เซนต์ เข้าไปดูแลรัฐวิสาหกิจ หาผลประโยชน์จากการซื้อเครื่องบิน บ้าง จากการทำโครงการใหญ่ที่ใช้เงินมากๆ บ้าง สมัยหลังๆ เป็นการสมคบตั้งโครงการเพื่อหากินโดยตรง โดยเฉพาะโครงการเป็นหมื่นล้าน เป็นแสนล้าน โดยอ้างประชาชน
ฉะนั้น ดูแล้วเราจะพบว่า การที่พรรคการเมืองทำอย่างนี้ได้ เพราะขาดกลุ่มไปคัดทาน ด้วยสาเหตุหนึ่ง เพราะประชาชนขาดข้อมูล หรือแม้แต่นักข่าว นักหนังสือพิมพ์ก็ไม่สามารถดูเบื้องลึกได้ การเกี่ยวพัน การโยงใยระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ มีเส้นทางมีความเป็นมาอย่างไร ใครได้ประโยชน์จากเรื่องใดไปบ้าง ได้ไปอย่างไร
เหตุที่เป็นเช่นนี้ พรรคการเมืองต่างอ้างความชอบธรรมว่า มาจากการเลือกตั้ง แล้วเราก็พบว่า กิจกรรมสำคัญของพรรคการเมือง คือการณรงค์การเลือกตั้ง หลังจากนั้นก็ไม่มีบทบาทอื่น ไม่ว่าเรื่องการให้การศึกษากับประชาชน ทำประโยชน์เพื่อสาธารณชน พรรคการเมืองมุ่งว่า ใครจะเข้าไปมีตำแหน่งอะไร เมื่อมีรัฐบาลผสมจะแบ่งสรรปันส่วนผลประโยชน์กันโดยไปดูแลกระทรวงต่างๆ โดยที่หัวหน้ารัฐบาล ไม่มีหน้าที่ควบคุมตรวจสอบอีกต่อไป
นี่คือ สาเหตุที่ทำให้ประชาชนไม่พอใจพรรคประชาธิปัตย์ ไม่พอใจนายกรัฐมนตรี เหมือนกับเปิดโอกาสพรรคอื่นสามารถหาประโยชน์ได้ โดยตัวเองไม่คัดคาน เป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก พรรคการเมืองจำเป็นต้องใช้เงินไปหาเสียงเลือกตั้ง
สำหรับวิธีการหาเงินของพรรคการเมืองมี 2 วิธี หนึ่ง หัวหน้าพรรคการเมืองคนเดียว เป็นผู้กำหนด หาเอง รัฐมนตรี อีกด้านก็ช่วยกันหา ซึ่งทำให้เป็นเรื่องยากดูเส้นทางการได้เงิน
“น่าเป็นห่วงเวลานี้คนทั่วไปไม่ค่อยสนใจ การคอร์รัปชั่นทางการเมือง เพราะดูเหมือนไม่มีคนเสียผลประโยชน์ ด้วยเป็นเงินงบประมาณแผ่นดินไม่มีเจ้าของ”