จับมือพรรคการเมือง ลงสัตยาบรรณ หาเสียงเลือกตั้ง
3 หน่วยงาน จัดพิธีลงนามสัตยาบรรณ -ลงนามจรรยาบรรณการหาเสียงเลือกตั้ง ปี 2554 ณ อาคารรัฐสภา ไร้เงาพรรคชทพ.-ภท. ปธ.วุฒิฯ ชี้พันธะสัญญา นี้จะลดความขัดแย้ง-ประชาธิปไตยเข้มแข็ง
วันที่ 11 พฤษภาคม ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล สภาพัฒนาการเมือง และวุฒิสภา จัดพิธีลงนามสัตยาบรรณ และลงนามจรรยาบรรณการหาเสียงเลือกตั้ง ปี 2554 ณ อาคาร2 รัฐสภา โดยมีพล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) และนายอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร นายโคทม อารียา ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี ตัวแทนผู้นำศาสนา และตัวแทนจากพรรคการเมืองต่างๆ เข้าร่วม อาทิ นายวิทยา แก้วภราดัย จากพรรคประชาธิปัตย์ นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ และนายสมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ รวมทั้งเอกอัครราชทูต ผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศอาทิ ยูเอ็นดีพี จากสหประชาชาติ สหภาพยุโรป มูลนิธิเอเชีย และผู้สังเกตการเลือกตั้งสากลเข้าร่วมเป็นสักขีพยาน
พล.อ.ธีรเดช ในฐานะประธานในพิธี กล่าวว่า การจัดพิธีให้สัตยาบันและลงนามจรรยาบรรณในครั้งนี้ ถือเป็นพันธะสัญญา และแสดงเจตจำนงที่ให้ไว้กับประชาชนว่า การเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้เป็นไปด้วยความยุติธรรม ตามครรลองของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพราะการเมืองที่มีรากฐานมาจากความสุจริต ยุติธรรมย่อมนำไปสู่การยอมรับ และช่วยลดความขัดแย้ง ทำให้การเมืองในระบอบประชาประชาธิปไตยมีความเข้มแข็ง อีกทั้งยังเป็นการสร้างความตื่นตัวให้กับประชาชนในการให้ความสำคัญต่อการเลือกตั้งที่สุจริต
ขณะที่ เลขาธิการ กกต. กล่าวว่า การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นเชื่อว่า จะมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่ง กกต.ที่ถือเป็นผู้จัดการเลือกตั้ง จะจัดการเลือกตั้งอย่างสุจริต โปร่งใส มีความเที่ยง ส่วนเรื่องการนำสถาบันลงมาหาเสียงนั้น ถือเป็นเรื่องมิบังควร ขอให้พรรคการเมืองปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
“วิกฤติความขัดแย้งที่เป็นอยู่ทำให้ประเทศเกิดความเสื่อมถอยด้านประชาธิปไตยมาก ซึ่งถือว่าเป็นวิกฤติของคนในชาติ ดังนั้นขอให้ทุกคนช่วยทำให้การเลือกตั้งเกิดความบริสุทธิ์ ยุติธรรม มีคุณภาพ เพื่อให้ประชาธิปไตยบ้านเรามีความมั่นคง สงบสุข สมานฉันท์”
ด้านนายอุทัย กล่าวถึงความสำคัญของการเลือกตั้งว่า การเลือกตั้งเป็นกิจกรรมสำคัญของประชาชนคนไทย ดังนั้นประชาชนคือผู้เลือกผู้แทนราษฎรเข้ามา แต่หลายครั้งที่ผ่านมา ผู้ที่มีอำนาจเข้ามาบริหารบ้านเมือง มักลืมตัว หรือเรียกภาษาบ้านๆ ว่า “วัวลืมตีน” ก่อนเข้ามาทำงานคิดว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนเลือก แต่พอเข้ามาทำงานก็ไม่ค่อยคิดถึงที่มาของตัวเอง ไม่เคยสำนึกว่าตัวผู้แทนนั้นเป็นผู้แทนของราษฎร พอเป็นแบบนี้ก็ทำให้ประชาชนเบื่อการเมืองในสภา จนทำให้มีกระแสการปฏิวัติรัฐประหาร
“ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบการปกครองแบบเผด็จการ ทั้งในรูปแบบรัฐประหาร หรือปฏิวัติ ล่าสุดที่มี คมช.ดูไปดูมาก็ไปไม่รอด กลับมาเลือกตั้งอยู่ดี ดังนั้นทางออกของประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง ขอให้ประชาชนเลือกคนที่ดีที่สุดเข้ามาทำหน้าที่ในสภา และขอให้คำนึงว่า คนที่เข้ามาอยู่ในสภาคือผู้แทนที่ประชาชนเลือกมา ขอให้ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมเพื่อประชาชน” นายอุทัย กล่าว
จากนั้น นายอุทัย กล่าวนำการให้สัตยาบัน โดยพรรคการเมืองที่เข้าร่วมงาน ดังนี้ จะเคารพและปฏิบัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ กฎหมายเลือกตั้ง และกฎระเบียบที่กำหนด,ไม่นำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง , ไม่กระทำการใดที่เป็นการซื้อเสียง ไม่ใช่กลไกหรือทรัพยากรของรัฐเพื่อประโยชน์ในการหาเสียงเลือกตั้ง ,รณรงค์หาเสียงด้วยสันติวิธี ไม่ข่มขู่คุกคาม ไมใช้ความรุนแรง และไม่รบกวนการณรงค์หาเสียงของพรรคอื่น , ไม่ใช้ถ้อยคำและภาษาที่รุนแรงหรือใส่ร้ายผู้อื่นให้เสียชื่อเสียง และยอมรับผลการเลือกตั้งอันถือเป็นเสียงและความต้องการของประชาชน พร้อมกันนี้ ขอให้กกต.และเจ้าหน้าที่ทุกระดับดำเนินการโดยสุจริตเที่ยงธรรม ร่วมป้องกันการทุจริต
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า มีตัวแทนพรรคการเมืองมาลงทะเบียนร่วมงานทั้งหมด 17 พรรค อาทิ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน พรรคภูมิใจไทย พรรคการเมืองใหม่ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาราช นอกนั้นเป็นพรรคการเมืองเล็กๆ อาทิ พรรคชาติสามัคคี พรรคบำรุงเมือง พรรคประชาชนชาวไทย พรรคเสรีนิยม พรรคพลังสังคมไทย ยกเว้นพรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคภูมิใจไทยไม่มาร่วม