“ดร.สุเมธ” ชี้ประเทศที่หลงระเริง เพลินกับความร่ำรวย มีโอกาสโดนน็อค
เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ย้อนอดีต วิกฤตต้มยำกุ้ง-แฮมเบอร์เกอร์ เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เชื่อหากทุกประเทศยังเพลิด เพลินกับความมั่งคั่งแบบไร้สติ มีโอกาสน็อค เผยในหลวงทรงสอนให้รักโลก รักประเทศ แต่กลับถูกมอง ไม่ใช่หน้าที่
วันที่ 4 เมษายน สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) ร่วมกับสำนักราชเลขาธิการ มูลนิธิชัยพัฒนา และสำนักงบประมาณ จัดปาฐกถาพิเศษ "84 พรรษา ประโยชน์สุขสู่ปวงประชา" ณ โรงแรมเซ็นทารา แอท เซ็นทรัล เวิลด์ กรุงเทพฯ โดยมีนายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี เป็นประธานเปิดงาน และมีนายสุวัฒน์ เทพอารักษ์ รองเลขาธิการ กปร. กล่าวรายงาน
นายสุวัฒน์ กล่าวถึงการจัดงานปาฐกถาพิเศษครั้งนี้ว่า เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 ด้วยเพราะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงมีพระเมตตาและทุ่มเทพระวรกาย ในการค้นหาวิธีการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพสกนิกร ทั้งด้านแหล่งน้ำ ดิน ป่าไม้ การศึกษา สุขภาพอนามัย รวมทั้งคุณภาพชีวิต โดยพระราชทานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริจำนวน 3,975 โครงการกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาค เพื่อให้ราษฎรมีอาชีพและรายได้พอเพียงต่อการดำรงชีวิต
จากนั้นนายอำพล ในฐานะประธานเปิดงาน กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงครองราชย์ได้พระราชทานพระราชดำริให้ความช่วยเหลือ แก้ปัญหาความแร้นแค้นของราษฎร ไม่ว่าจะเชื้อชาติ ศาสนาใด ผ่านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริจำนวนมาก ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเน้นการพัฒนา โดยยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ขณะเดียวกันหากพบว่า โครงการใดหรือกิจกรรมใดที่มีความคิดขัดแย้งกันอยู่ จะยังไม่ดำเนินการ
“สำหรับผู้ที่เข้าใจและน้อมนำพระราชดำริมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต อาทิ หลักเศรษฐกิจพอเพียง เชื่อว่าจะสามารถผ่านพ้นจากสถานการณ์วิกฤตต่างๆ ได้อย่างดี อีกทั้งยังเป็นการสร้างภูมิต้านทาน สร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้กับตนเองและครอบครัว”
ขณะที่นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ “ในหลวงกับการพัฒนา” ตอนหนึ่งถึงเหตุการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องใหม่ ซึ่งหากย้อนไปสมัยพระบาทรัชกาลที่ 6 พระองค์ทรงระบุไว้อย่างชัดเจนว่า บุคคลจากส่วนกลางที่จะส่งไปบริหารงาน ปกครองใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะต้องเป็นคนดี มีคุณธรรม มีความรู้ความสามารถ หรืออาจเรียกได้ว่า ต้องคัดเลือกคนที่พิเศษจริงๆ โดยบุคคลดังกล่าวจะต้องรู้ว่า คนในพื้นที่ชอบหรือไม่ชอบสิ่งใด ต้องเข้าใจหลักการเบื้องต้นของศาสนาอิสลาม ขณะเดียวกันห้ามผู้ใดออกกฎระเบียบที่ขัดต่อความรู้สึกนึกคิดและประเพณีปฏิบัติของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามอีกด้วย สิ่งเหล่านี้ชัดเจนถึงพระอัจฉริยภาพของพระมหากษัตริย์ไทยที่วางแนวทางไว้ตั้งแต่ 100 ปีก่อน
“สำหรับในรัชกาลปัจจุบัน ก่อนหน้านี้พระองค์ทรงเสด็จฯ เยือนพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส เป็นประจำทุกปี ทรงเข้าไปพัฒนาพื้นที่พรุ ให้เป็นพื้นที่นา ทรงมีพระราชดำริให้พัฒนาโรงเรียนปอเนาะให้มีคุณภาพ สอนศาสนาอย่างตรงประเด็น พร้อมทั้งเสริมวิชาความรู้สามัญเข้าไปด้วย เนื่องจากทรงเป็นห่วงว่า ชาวไทยในพื้นที่ดังกล่าว อาจไม่มีการศึกษาที่ทันโลก ทำให้ในปัจจุบันโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามมีความทันสมัยขึ้นมาก สิ่งเหล่านี้ชัดเจนว่า ที่ผ่านมาหากไม่มีในหลวงเข้าไปดูแลเรื่องดังกล่าว สถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อาจจะวุ่นวายกว่านี้”
จากนั้นช่วงบ่าย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ปาฐกถาพิเศษ “เศรษฐกิจพอเพียง” ตอนหนึ่งว่า เศรษฐกิจพอเพียง เป็นหลักคิดที่พระเจ้าแผ่นดินทรงพระราชทานให้แก่ประชาชน ด้วยเพราะพระองค์ทรงต้องการรักษาแผ่นดินให้กับเรา ไม่ว่าจะดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งหากพินิจพิเคราะห์จากโครงการพระราชดำริและความสำเร็จต่างๆ ที่เกิดขึ้น จะยิ่งชัดเจนว่า พระองค์ทรงสอนหลักการในการครองชีวิต เพื่อรักษาชีวิตของพวกเราเอาไว้ ขณะเดียวกัน พระองค์ทรงทรงพระราชทาน แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็นทางออกในการแก้วิกฤตเศรษฐกิจ ตั้งแต่ครั้ง "ต้มยำกุ้ง" และล่าสุด "วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์" ซึ่งชัดเจนว่า เศรษฐกิจจะมีลักษณะโตแล้วแตก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และต่อไปอาจมีวิกฤตซูชิ ติ่มซำ ก็เป็นได้ หากทุกประเทศยังหลงระเริง เพลิดเพลินกับความร่ำรวย มั่งคั่งอย่างไร้สติ ก็มีโอกาสน็อคเช่นกัน
“ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง มีการถกเถียงกันมากว่าคืออะไร กระทั่งปั่นป่วน สับสนไปทั่วแผ่นดิน ทั้งที่ในความจริงแล้ว พระองค์ทรงสอนธรรมะแก่ประชาชน เพราะเมื่อมนุษย์ถูกอำนาจกิเลสตัณหาครอบงำ ก็จะนำไปสู่ความพินาศครั้งแล้วครั้งเล่า”
ดร.สุเมธ กล่าวต่อว่า ทุกวันนี้ ดิน น้ำ ลม ไฟพินาศ น้ำในลำคลองเน่าหมด ดินพังทลาย แห้งแล้งเห็นได้อย่างชัดเจน ดังนั้น การที่พระองค์ทรงมุ่งสอนให้กลับสู่ความเป็นธรรมชาติ ใช้ความรู้ ใช้เศรษฐกิจแบบพึ่งพา เน้นวัฒนธรรมท้องถิ่น การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และธรรมาภิบาล ก็เพื่อนำไปสู่ความอยู่รอดอย่างยั่งยืน
“ในหลวงทรงสอนให้รักโลก รักประเทศ แต่กลับถูกคนว่ากล่าว ว่าไม่ใช่หน้าที่ของในหลวง ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลก ในทางกลับกัน อยากตั้งคำถามว่า ตนเคยทำอะไร เพื่อรักษาดินสักก้อนหรือไม่ พูดแล้วของขึ้น”
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นอกจากกิจกรรมปาฐกถาพิเศษดังกล่าวแล้ว ยังมีนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสัญจรจำนวน 10 แห่งทั่วทุกภูมิภาค พร้อมกับนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติครั้งใหญ่ ระหว่างวันที่ 24-28 พฤศจิกายนนี้ ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์อีกด้วย