วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก นายกฯ ย้ำชัดสั่งระงับแก้ไขพรบ.คอมฯ แล้ว
นายกสมาคมนักข่าวฯ พาตัวแทนองค์กรวิชาชีพสื่อ มอบข้อเสนอถึงมือ “อภิสิทธิ์” เนื่องในวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก เผย การแก้ไขเพิ่มเติมพรบ.คอมพิวเตอร์ฯ นายกฯ สั่งเบรกแล้ว พร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องรอบด้าน
เนื่องในโอกาสวันที่ 3 พฤษภาคมของทุกปีเป็น "วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก" หรือ World Press Freedom Day โดยในปีนี้ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยและองค์กรเครือข่ายส่งเสริมสิทธิสื่อมวลชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAPA) ร่วมกันจัดงานวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก
โดยช่วงเช้านายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี นายกสมาคมนักข่าวหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นายวิสุทธิ์ คมวัชรพงศ์ นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และนายเสด็จ บุนนาค อุปนายกฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ และตัวแทนองค์กรวิชาชีพสื่อเข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อมอบเข็มกลัดที่ระลึกและเสื้อยืดวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก พร้อมยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาล
จากนั้น ณ ห้องประชุมอิศรา อมันตกุล อาคารสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีการยืนไว้อาลัยแก่สื่อมวลชนที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ ก่อนมีการแถลงการณ์เนื่องในวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก
นายชวรงค์ กล่าวว่า วันสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนโลก มีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนรับรู้ถึงปัญหาการละเมิดสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนทั่วโลก จากการที่สื่อในหลายประเทศถูกเซนเซอร์ ถูกข่มขู่ ทำร้าย สังหาร ทั้งนี้จากการเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นข้อเรียกร้องนั้น ถือเป็นโอกาสสำคัญในการย้ำเตือนภาระหน้าที่ของรัฐบาลที่มีต่อสื่อ ในการจรรโลงไว้ซึ่งสิทธิเสรีภาพของสื่อ และย้ำเตือนถึงหน้าที่สื่อเองว่า ปฏิบัติตรงตามหลักจริยธรรมหรือไม่ รวมทั้งหน้าที่ของประชาชนในการตรวจสอบการทำงานของสื่อ ให้ช่วยกันทำหน้าที่บนความรับผิดชอบ
นายกสมาคมนักข่าวฯ กล่าวด้วยว่า จากการปรึกษานายกรัฐมนตรีกรณีความพยายามจะแก้ไขความผิดเกี่ยวกับ ร่าง พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ซึ่งหลายฝ่ายกังวลจะเป็นการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นรวมทั้งเสรีภาพในการสื่อสารมากขึ้นนั้น นายกรัฐมนตรียืนยันว่าจะไม่มีการเสนอร่างแก้ไขในสมัยรัฐบาลนี้ โดยจะให้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้านอีก ครั้ง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ให้บริการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือ ISP และกลุ่มที่ให้บริการรับฝากเว็บไซต์ (web Hosting) เป็นต้น
"ส่วนเรื่องที่เร่งรัดให้หน่วยงานรัฐ ที่ครอบครองคลื่นความถี่วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ปฏิรูปตัวเองให้ ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ นั้น นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความห่วงใยเรื่องคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่จะมีการฟ้องร้องศาลปกครองกันซึ่งจะทำให้กระบวนการสรรหาล่าช้า"
ขณะที่นายวิสุทธิ์ กล่าวถึงแถลงการณ์ข้อเสนอเนื่องในวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลกต่อฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง 5 ข้อ ได้แก่ 1. เรียกร้องให้สื่อมวลชนประเภทต่างๆ ตระหนักถึงการทำหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ 2. การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในสถานการณ์ความขัดแย้ง สื่อมวลชนไม่ควรถูกแทรกแซงจากภาครัฐ กลุ่มอิทธิพล รวมถึงกลุ่มทุน 3. เรียกร้องให้ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ มีความจริงใจในการปฏิรูปสื่อวิทยุและโทรทัศน์ โดยเฉพาะวุฒิสภา ต้องดำเนินการสรรหา กสทช.อย่างโปร่งใส 4. รัฐบาลต้องยุติการออกกฎหมายที่มีลักษณะจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนและสื่อมวลชน โดยเฉพาะร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. คอมฯ 5. ในสถานการณ์ความขัดแย้งที่ยังดำรงอยู่ ขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร เปิดใจกว้างรับฟังความเห็นที่หลากหลายจากสื่อมวลชน
เป็นกลาง ตรงไปตรงมา โพลชี้จุดที่สื่อต้องปรับ
สำหรับผลสำรวจความคิดเห็นจากประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ที่มีต่อ เสรีภาพของสื่อมวลชนไทย จำนวนทั้งสิ้น 1,378 คน ระหว่างวันที่ 25-30 เมษายน 2554 จัดทำโดย “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตนั้น ในประเด็นคำถาม ประชาชนคิดว่า สื่อมวลชน ณ วันนี้ มีเสรีภาพมากน้อยแค่ไหน พบว่า ประชาชน 42.51% มองว่า สื่อมวลชนมีเสรีภาพพอสมควรในการนำเสนอข่าวได้ทุกเรื่อง ทุกแง่มุม ทำงานได้อิสระมากขึ้น แต่บางครั้งก็ยังถูกแทรกแซง , 29.97% มองว่า สื่อมวลชนมีเสรีภาพมากเกินไป เพราะการนำเสนอข่าวบางครั้งเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้ที่ตกเป็นข่าวมากเกินไปและมีการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวลงไปในข่าว
เมื่อถามถึงความรับผิดชอบของสื่อมวลชนไทย ณ วันนี้ ประชาชน 46.25% มองว่า ยังมีความรับผิดชอบน้อย เพราะบางครั้งมีการนำเสนอข่าวผิดพลาด และ 40.13% มองว่า มีความรับผิดชอบดี โดยเฉพาะในเวลาที่ประเทศชาติประสบปัญหาวิกฤต
สำหรับจุดที่สื่อมวลชนไทยต้องปรับปรุง ประชาชน 60.25% มองว่า คือการนำเสนอข่าวอย่างเป็นกลาง ตรงไปตรงมาและครอบคลุมทุกแง่มุม ส่วนความคาดหวังของประชาชนต่อสื่อมวลชนไทยนั้น 51.32% มองว่าต้องการให้มีการนำเสนอข่าวสารอย่างถูกต้อง ตรงไปตรงมาและมีจรรยาบรรณของนักข่าว และ 22.18% ต้องการให้สื่อมวลชนมีอิสระในการทำงาน ไม่ตกเป็นเครื่องมือของผู้มีอิทธิพลหรือนักการเมือง
“สื่อ” เสรีภาพบนความรับผิดชอบ
ต่อจากนั้น เป็นช่วงการเสวนาเรื่อง “เสรีภาพบนความรับผิดชอบ (Freedom with Responsibility)” ณ ห้องประชุมอิศรา อมันตกุล สมาคมนักข่าวฯ โดยผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย นายกิตติ สิงหาปัด พิธีกรรายการข่าว 3 มิติ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ผศ.ดร.กาญจนา มีศิลปะวิกกัย คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม นายวรวิทย์ ศรีอนันตรักษา หัวหน้าข่าวหน้า 1 หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ดำเนินรายการโดยนายภิญโญ ไตรสุริยธรรมา พิธีกรรายการตอบโจทย์ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
ผศ.ดร.กาญจนา กล่าวว่า เสรีภาพและความรับผิดชอบของสื่อมีมิติที่หลากหลายในการมอง อีกทั้งเมื่อสื่อมีเสรีภาพมาก ก็ย่อมหาเส้นแบ่งที่ชัดเจนได้ยากเช่นกัน ซึ่งจากการวิเคราะห์บทความเกี่ยวกับสื่อชิ้นหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า แม้สื่อจะมีเสรีภาพสูง แต่ขณะเดียวกันเสรีภาพดังกล่าวก็มีนัยยะเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นคำว่า ‘ความลับ’ ยังถูกแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ความลับของสื่อกับความลับของคนอื่น ขณะเดียวกันพบว่า สาธารณชน ที่เป็นปลายทางของการรับข่าวสารกลับไม่มีอำนาจที่จะเข้าถึงความลับของสื่อ ซึ่งประเด็นดังกล่าวสะท้อนว่า การนำเสนอข่าวของสื่อคิดบนพื้นฐานที่ว่า ประชาชนอยากรู้จึงสะท้อนออกมา แต่ในความเป็นจริงหลายเรื่องก็ไม่ได้วิเคราะห์อย่างตรงไปตรงมา ดังนั้น สื่อน่าจะสร้างความชัดเจนต่อเรื่องดังกล่าวต่อผู้รับข่าวสาร เนื่องจากประชาชนอาจไม่ได้สกรีนว่า สิ่งที่ถูกคืออะไร
“สื่อในอเมริกา มักสร้างประเด็นความขัดแย้งให้เป็นข่าว อีกทั้งยังเล่นกับอารมณ์ของคนดูปลายทางมากกว่าให้การศึกษา อย่างเช่นกรณีวิกิลีกซ์ ที่นำความลับมากมายเสนอต่อสาธารณชน แต่ในทางกลับกัน คนในสังคมก็อยากรู้ความรับของสื่อเช่นกัน”
ผศ.ดร.กาญจนา กล่าวถึงข้อเสนอจากผลวิจัยเกี่ยวกับเสรีภาพและความรับผิดชอบของสื่อท่ามกลางความขัดแย้งว่า สิ่งที่จะต้องยึดถือคือการรักษาความเป็นกลาง ต้องเปิดใจให้กว้างในเสนอข่าวสารและให้ความรู้กับประชาชน พร้อมทั้งนำเสนอบรรทัดฐานใหม่ๆ ทางสังคม ที่มีการปรับเปลี่ยนไปตามความคิดเห็นที่แตกต่าง
“คนที่เป็นสื่อต้องปรับไปตามสังคม โดยไม่เลือกข้าง ไม่สร้างให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้มาจากรากแก้วทางจริยธรรม ที่มีอยู่บนแนวคิดสุขภาวะ สาระ บันเทิง ขณะเดียวกันสื่อจะต้องมีความรับผิดชอบในการนำเสนอข่าว ทั้งต่อตนเอง องค์กร สังคม ประเทศและโลก ภายใต้สำนึกเพื่อสังคม เพื่อเป็นพลังผลักดันและสะท้อนเนื้อหาที่มีคุณภาพ ซึ่งจะส่งผลต่อคน คุณภาพสังคมอีกด้วย” ผศ.ดร.กาญจนา กล่าว
พิธีกรดัง ชี้ความรับผิดชอบ เริ่มตั้งแต่ใช้ภาษา
ด้านนายกิตติ กล่าวถึงผลสำรวจของสวนดุสิตโพล พบว่าประชาชนมีความคิดเห็นว่า สื่อมีเสรีภาพมากเกินไปร้อยละ 29.97 ซึ่งตนคิดว่าในความเป็นจริงตัวเลขดังกล่าวอาจสูงมากกว่านี้ ขณะเดียวกันประชาชนร้อยละ 46.25 คิดว่าสื่อมีความรับผิดชอบน้อย เสนอข่าวผิดพลาด คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ส่วนประชาชนถึงร้อยละ 55 ยังคิดว่า สามารถนำเสนอข่าวอย่างอิสระ แต่จะต้องเคารพในสิทธิของผู้อื่น ไม่สร้างความเดือดร้อน
สำหรับหลักในการทำงานสื่อ พิธีกรรายการข่าว 3 มิติ กล่าวว่า ในการทำงานสื่อจะต้องคัดเลือก ตัดสิน และพิจารณาด้วยความรับผิดชอบตลอดเวลา ส่วนตัวได้ใช้หลัก “ ไม่อยากให้คนอื่นทำกับเราอย่างไร ก็อย่างไปทำกับคนอื่นอย่างนั้น" เอาใจเขามาใส่ใจเรา รับผิดชอบต่อสาธารณชน วิชาชีพ นายจ้าง ในฐานะที่เป็นสื่อตามหลักจริยธรรม แต่ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบ จะอยู่ที่การไปละเมิดคน เสนอข่าวผิดพลาด และไม่มีการแก้ไข อาจเป็นเพราะสื่อยโส โอหัง การแก้ไขข้อผิดพลาดเป็นเรื่องเสียหน้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ นับว่าเป็นปัญหาที่ควรจะแก้ไข
นายกิตติ กล่าวถึงความรับผิดชอบของสื่อที่จะเกิดขึ้นได้นั้น จะต้องเริ่มตั้งแต่การใช้ภาษา ที่ต้องมีรสนิยม นั่นคือ ไม่กระแนะกระแหน จิกหัวด่าคน กระทบกระเทียบคน เพราะเท่ากับเป็นการละเมิด ส่วนการนำเสนอข่าวข้อเท็จจริงต้องมาก่อนความคิดเห็นส่วนตัว และสื่อก็ไม่มีหน้าที่ตั้งคำถาม หรือเข้าข้างใคร เพราะไม่ใช่หน้าที่หลักของสื่อ ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตนเอง ส่วนเรื่องถูกผิด ก็เป็นหน้าที่ของศาล สื่อมีหน้าที่เผยแพร่ข่าวสารให้กับประชาชนเท่านั้น
นายกิตติ กล่าวถึงการนำเสนอภาพศพบินลาเดนที่มีการตั้งคำถามว่า การเสนอภาพศพคนตายจะทำอย่างไร จะเสนออย่างไร ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับหลักปฏิบัติ หรือกฎหมายที่แตกต่างกันไปในแต่ละที่ ซึ่งเรื่องดังกล่าวในบ้านเราก็ยังเป็นเรื่องลอยๆ ไม่มีหลักปฏิบัติที่ชัดเจน แตกต่างจากในญี่ปุ่น แม้จะมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สึนามิจำนวนมาก แต่กลับไม่ปรากฏภาพศพบนหน้าหนังสือพิมพ์แต่อย่างใด
“กรณีการนำเสนอข่าวในช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา ก็ถือเป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่งของสื่อ เนื่องจากนักข่าวที่ลงไปในพื้นที่ประสบภัย ย่อมรู้เห็นเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งในบางครั้งรับรู้ถึงสถานการณ์ก่อนกู้ภัย หรือเจ้าหน้าที่ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องนำเสนอความเป็นจริงออกไปสู่สาธารณะ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับรู้และยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ขณะเดียวกันต้องยอมรับว่า สื่อเป็นเครื่องมือแจ้งข่าวที่เร็ว รู้ถึงปัญหา อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือระดมเงินบริจาคที่ทรงพลัง การทำงานดังกล่าว จึงเป็นหนึ่งในความรับผิดชอบของสื่อมวลชน ไม่ได้หวังถ้วยทองอะไร”
นักนสพ. ฝากสื่อรุ่นใหม่สำนึก เจียมตัว
ขณะที่นายวรวิทย์ กล่าวถึงอาชีพของนักหนังสือพิมพ์ เป็นประหนึ่งกิจการสถาบันสาธารณะ ที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งสินค้าของหนังสือพิมพ์ ไม่ใช่เสื้อผ้า ไม่สวยถอดทิ้งได้ แต่สินค้าของหนังสือพิมพ์ คือเนื้อหา วิธีคิด ที่เข้าปลูกในสมองคน และสามารถเปลี่ยนทัศนคติของผู้คนได้ ฉะนั้น สิ่งที่ต้องพูดถึงคือ ความเป็นกลาง ไม่เอนซ้าย เอนขวา แม้ว่าสื่อจะเป็นมนุษย์ที่มีอารมณ์ และทัศนคติก็ตาม นอกจากนี้ นักข่าวจะต้องเสนอข่าว โดยละเว้นความพยาบาท อาฆาต พร้อมทั้งอยู่บนพื้นฐานสำนึก เจียมตัว
“ที่ผ่านมา เมื่อมีการจัดอันดับอาชีพที่ผู้คนชื่นชอบ 3 อันดับแรก จะพบว่า เป็นครู หมอ ดารา ส่วนอีก 3 อาชีพที่คนค่อนข้างรังเกียจคือ ตำรวจ นักการเมือง และนักข่าว สื่อจึงต้องทำหน้าที่ด้วยความเจียมตัว มีความสำนึก มีความรับผิดชอบ เพื่อสร้างเป็นมาตรฐานทางสังคม ขณะที่มาตรฐานที่เป็นไปตามหลักจริยธรรม จะสร้างความน่าเชื่อถือและจะช่วยล็อคไม่ให้ระบบราชการ อำนาจรัฐเข้ามาครอบงำสื่อได้”