ดร.สุเมธ เชื่อ CSR ภาคธุรกิจ-การศึกษา เนื้อแท้กระบวนการทางสังคม
"ศ.นพ.เกษม" ยัน มหาวิทยาลัยเสี่ยงสูญหายไปจากความรู้สึกผู้คน หากนิ่งเฉยกับความรับผิดชอบต่อสังคม แนะ รบ. เอ็นจีโอเดินเครื่อง CSR เป็นระบบ เอาอย่างภาคเอกชน
วันที่ 21 เมษายน สถาบันคลังสมองของชาติ มูลนิธิส่งเสริมทบวงมหาวิทยาลัย สถาบันธุรกิจเพื่อสังคม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนสร้างเสริมสุขภาพ จัดสัมมนา “มหาวิทยาลัยรับผิดชอบต่อสังคม...สังคมร่วมรับผิดชอบต่อมหาวิทยาลัย” ครั้งที่ 1: จุดเปลี่ยน CSR กับคุณภาพการศึกษาไทย ณ อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ โดยมี ดร.สุเมธ แย้มนุ่ม เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา กล่าวเปิดงาน
ดร.สุเมธ กล่าวว่า การจัดการสัมมนาครั้งนี้ เป็นการเสริมหนุนและสานพลังระหว่างผู้บริหารสถาบันศึกษากับสถาบันธุรกิจ ให้เกิดการแลกเปลี่ยนแนวคิดความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อนำไปสู่เนื้อแท้ของกระบวนการทางสังคมที่มีเป้าหมายร่วมกันในเรื่องความยั่งยืนของประเทศไทย โดยอาศัยความรับผิดชอบที่องค์กรมีต่อสังคม(Corporate social responsibility: CSR) และความรับผิดชอบที่มหาวิทยาลัยมีต่อสังคม (University social responsibility: USR เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อน
“ที่ผ่านมา สถาบันอุดมศึกษาได้พัฒนาแนวคิดเรื่องยุทธศาสตร์อุดมศึกษาร่วมสร้างประเทศไทยน่าอยู่ ภายใต้โครงการ 1 มหาวิทยาลัย 1 จังหวัด โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมวิชาการสายรับใช้สังคมในสถานศึกษา และเพิ่มบทบาทของสถาบันอุดมศึกษาในการสร้างพลเมืองดีของชาติ ซึ่งหากนำมาเชื่อมโยงกับภาพรวมของประเทศ และนำศักยภาพของภาครัฐ เอกชนมาใช้ในการพัฒนา บูรณาการ กระทั่งเกิดสถาปนิกทางสังคมจำนวนมากที่จะนำพาประเทศไปสู่เป้าหมายเดียวกัน”
จากนั้น ศ.นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิอานันทมหิดล ปาฐกถาพิเศษ “จุดเชื่อมพลังรวมของสังคม” ตอนหนึ่งว่า การบริหารองค์กร นอกจากจะคำนึงถึง Corporate Government (CG) ซึ่งเป็นการออกแบบโครงสร้างเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด บนหลักการของความโปร่งใส มีความรับผิดชอบแล้ว จะต้องดำเนินงานทางสังคมอย่าง CSR ควบคู่ไปด้วย เพราะไม่เช่นนั้น แม้ว่าองค์กรจะมีโครงสร้างที่ดี แต่หากสังคมต้องตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ ผู้คนในสังคมจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร
“CSR เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการ ทั้งในภาคเอกชน รัฐบาล เอ็นจีโอ แต่คำถามคือจะทำอย่างไรให้ภาคส่วนอื่น เดินหน้าอย่างเป็นระบบเช่นเดียวกับภาคธุรกิจเอกชนที่นำร่องไปก่อนหน้านี้ ประการสำคัญ จะต้องเชื่อมโยง CSR ไปใช้ในภาคการศึกษา ทั้งในระดับกระทรวง ทบวง กรม ขณะเดียวกัน ต้องเริ่มปลูกฝังให้เด็ก เยาวชนรุ่นใหม่ตระหนักว่า หากส่วนรวมอยู่ได้ดี ส่วนย่อยก็อยู่ได้”
ศ.นพ.เกษม กล่าวต่อว่า สภาพการณ์ปัจจุบัน ภาครัฐจำเป็นต้องเปิดประเด็นเรื่อง CSR มากขึ้น ส่วนภาคเอ็นจีโอ ซึ่งมีลักษณะการทำงานที่มุ่งเฉพาะเรื่องที่ทางกลุ่มสนใจจะต้องปรับเปลี่ยน หันไปมองภาพรวมด้วยว่า ประเทศดีขึ้นจริงหรือไม่ขณะที่ มหาวิทยาลัย จะต้องเดินเครื่องด้านความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้น มหาวิทยาลัยก็จะสูญหายไปในความรู้สึกของสังคมสำหรับนโยบายและแนวปฏิบัตินั้น
"ภาครัฐ ธุรกิจเอกชน ภาคประชาสังคม จะต้องมีหน้าที่ประสาน บูรณาการทุกภาคส่วน เพื่อให้ประเทศชาติ มนุษยชาติเคลื่อนต่อไป โดยรัฐจะต้องมีความรับผิดชอบในการสร้างกลไกความเสมอภาค เที่ยงธรรม ให้โอกาสแก่ผู้ด้อยโอกาส ส่วนภาคเอกชน ต้องรับผิดชอบต่อสินค้าและบริการ ขณะที่ภาคประชาสังคม จะต้องร่วมกันสร้างภราดรภาพให้เกิดขึ้นในสังคม ทั้งนี้ เพื่อให้ CSR กินความหมายที่กว้างกว่า การแบ่งผลกำไร ส่วนหนึ่งไปทำบุญ"
ศ.นพ.เกษม กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน CSR มีกิจกรรมเพิ่มขึ้น ครอบคุลมทั้งด้านคน ครอบครัว การสร้างความเข้มแข็งและการพึ่งตนเองได้ของชุมชน การศึกษา สาธารณสุข วัฒนธรรม ศาสนา ต่อเนื่องไปกระทั่งเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งการขยายตัวของกิจกรรมดังกล่าว นับว่ามีค่ามากต่อสังคม แต่อย่างไรก็ตาม ควรจะจัดตั้งองค์กร หรือศูนย์วิจัยเพื่อติดตามความเคลื่อนไหว สรุปบทเรียนสำคัญๆ จากการทำ CSR ในช่วงที่ผ่านมา เพื่อจะได้เห็นชัดว่า อะไรที่ทำไปแล้วมีคุณค่า
พลัง CSR ที่มีอยู่ ไม่เพียงพอในสถานการณ์ปัจจุบัน
และช่วงเสวนาเรื่อง “รวมสมอง...มองอนาคตอุดมศึกษาไทย” นายสุกิจ อุทินทุ รองประธาน CSR Club สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย กล่าวว่า การขับเคลื่อน CSR ในภาคเอกชนเกิดขึ้นมานานและเป็นไปอย่างเข้มข้น แต่นับว่ายังไม่เพียงพอต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งเกิดวิกฤตการณ์รุนแรงและบ่อยครั้ง ฉะนั้น เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่รวดเร็ว ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง เดินหน้าสร้างเครือข่าย ขยายการทำงานออกไป ขณะเดียวกัน ต้องปลูกฝังและสร้างเด็กรุ่นใหม่ให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม
“ที่ผ่านมา ประเทศไทยสอนคน พัฒนาคนให้มีความเอื้อเฟื้อ รับผิดชอบมากน้อยแค่ไหน เพราะจากประสบการณ์ พบว่า เด็กส่วนใหญ่รู้จักแต่สิทธิ ไม่รู้จักคำว่าหน้าที่ ฉะนั้น จะต้องรื้อฟื้นหรือเพิ่มเติมการเรียนรู้หน้าที่พลเมืองหรือไม่”
ด้าน ดร.ปรเมธ วิมลศิริ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 ซึ่งจะประกาศใช้ในเดือนตุลาคมนี้ว่า ยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาฯ มีสาระสำคัญ 6 เรื่องด้วยกันคือ 1.การสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ทั้งในเรื่องโอกาสทางเศรษฐกิจ ความยุติธรรม สิทธิ์เสียงทางการเมือง 2.การเตรียมคน สำหรับโลกในอนาคตที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงต้องมีความรู้รอบด้าน สามารถทำงานกับร่วมกับนานาประเทศได้ โดยอยู่บนพื้นฐานจริยธรรม และการยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง
“3.การสร้างสมดุลทางอาหารและพลังงาน 4.การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ จากฐานเดิมที่อิงภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก 5.การเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค เพื่อรองรับการเกิดขึ้นของประชาคมอาเซียน 6.เรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยอแผนพัฒนาฯ ดังกล่าว โดยเฉพาะในเรื่องการเตรียมคน ซึ่งนับว่าเกี่ยวข้องโดยตรงกับการศึกษาในศตวรรษที่ 21”