‘สาทิตย์’ แอ่นอกรับ กม.ภาษีที่ดินฯ คลอดไม่ทันยุบสภา
รมต.สำนักนายกฯ โยนรัฐบาลหน้ามาทำต่อ ‘เพิ่มศักดิ์’ ชี้จำกัดถือครอง 50 ไร่แค่โยนหินถามสังคม แนะการเมืองสานต่อนโยบายพรรค ด้านนักวิชาการ – เอ็นจีโอ เชื่อภาษีบีบคนคายที่ดิน จี้รัฐปลดล็อคคดีความคนจน
วันที่ 13 มีนาคม สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดงานราชดำเนินเสวนา ภายใต้โครงการร่วมปฏิรูปประเทศไทย ครั้งที่ 3 /2554 เรื่อง “ปฏิรูปที่ดิน ปฏิรูปความเป็นธรรมในสังคมไทย ?” ณ ห้องประชุมอิศรา อมันตกุล ชั้น 3 สมาคมนักข่าวฯ โดยมี นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, ผศ.ดร.อภิชาติ สถิตนิรมัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ กรรมการปฏิรูป และนางสาวพงษ์ทิพย์ สำราญจิตต์ ที่ปรึกษาเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย เข้าร่วมเสวนา
ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าวว่า ในการวิเคราะห์ปัญหาความไม่เป็นธรรมของคณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) สามารถสรุปได้เป็น 5 ด้าน คือ เศรษฐกิจ สังคม ที่ดินทรัพยากร สิทธิโอกาส และอำนาจต่อรอง โดยพิจารณาแล้วว่า เรื่องที่ดินจะมีผลกระทบกับระดับฐานรากของสังคมมากที่สุด ในขณะที่รอบ 50 ปีที่ผ่านมา ภาครัฐได้ดำเนินการเรื่องที่ดินด้วยกฏหมายหลายฉบับ แต่ข้อเท็จจริงประการหนึ่ง คือ ยังมีผู้ที่ไร้ที่ดินทำกินปัจจุบันไม่ต่ำกว่า 2 ล้านครัวเรือน ในขณะที่ร้อยละ 37 จากประชากรเมือง ยังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่ชุมชนแอดอัด ทั้งหมดคือบริบทของสังคมไทยที่ต้องช่วยออกแบบ
ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าวอีกว่า ผู้ที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาการกระจายการถือครองที่ดินนั้นต้องอาศัยความร่วมมือกันจาก 3 ภาคส่วนคือ 1.สังคมที่ทำหน้าที่กระตุ้นทุกคนตระหนักตื่นตัวถึงปัญหา 2.ระดับการเมือง ที่มีบทบาทด้านการวางกรอบกติกาแก้ไขกฏหมายต่าง และ 3.ฝ่ายวิชาการ ที่ต้องทำหน้าที่จุดประกายให้สังคมได้วิพากษ์วิจารณ์ หากการทำวิจัยเป็นไปอย่างต่อเนื่องจะทำให้ได้รับข้อมูลเรื่องที่ดินที่กว้างขวางมากขึ้น
“ในเรื่องการจำกัดการถือครองที่ดิน 50 ไร่ และการคิดภาษีอัตราก้าวหน้าที่สูงถึง 5% นั้น เป็นเพียงเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นมาให้สังคมเสนอความคิดเห็น ซึ่งพรรคการเมืองอาจให้ความสนใจจัดทำเป็นนโยบายในการหาเสียงได้ ทั้งนี้จะสามารถจะช่วยเหลือเกษตรกรอย่างน้อย 2 ล้านครัวเรือนได้รับการดูแล นั่นหมายถึงฐานเสียงที่พรรคการเมืองจะได้รับเพิ่มขึ้น”
ด้านการเปิดเผยข้อมูลการถือครองที่ดิน ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าวว่า เป็นข้อมูลที่หน่วยงานภาครัฐมีอยู่ในครอบครองอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องเข้าไปแก้ไขใน พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร เพิ่มเติมในส่วนข้อมูลการถือครองที่ดินเป็นข้อมูลสาธารณะที่จำเป็นต้องเปิดเผย เนื่องจากขณะนี้มีหลายฝ่ายยังกังวลว่าการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวอาจกระทบกับข้อมูลส่วนบุคคล
“ส่วนข้อเสนอเรื่องกองทุนธนาคารที่ดินนั้น คปร. พบว่าการแจกที่ดินฟรีแก่ประชาชนอาจทำให้ไม่เห็นคุณค่า จึงได้เสนอให้ใช้วิธีการเช่าซื้อ และผ่อนส่งระยะยาว โดยเริ่มต้นนำเงินสนับสนุนจากภาครัฐปีละ 5 แสนล้านบาท และจัดเก็บคืนให้ภายหลังพร้อมดอกเบี้ย 1% ทั้งนี้แม้จะเป็นจำนวนเงินที่มาก แต่ในทางกลับกันหากรัฐบาลหยุดสร้างถนน 5 ปี และนำสร้างพื้นฐานให้แก่ชาวบ้านน่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า”
ดร.เพิ่มศักดิ์ กล่าวด้วยว่า หัวใจสำคัญของการกระจายการถือครองที่ดิน คือการกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่น สร้างกระบวนการจากฐานล่างขึ้นบน ดังนั้นเงื่อนไขปลีกย่อยในข้อเสนอนี้ควรมอบอำนาจการตัดสินใจให้แก่ประชาชน เปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็น ในขณะที่ส่วนกลางมีหน้าที่เพียงแค่วางกรอบกำหนดทิศทางเพียงอย่างเดียว
‘อภิชาติ’ แนะอัตราภาษีบีบคนคายที่ดิน
ด้าน ผศ.ดร.อภิชาติ กล่าวว่า ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ภาคการเกษตรขาดแคลนแรงงานจำนวนมาก ทำให้ต้องใช้เครื่องจักรเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้แนวคิดเกษตรพอเพียงไม่เพียงพอต่อผลตอบแทนที่ได้รับ ขณะนี้สามารถแบ่งเกษตรกรออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ เกษตรกรมืออาชีพที่มีอายุน้อย 30 – 40 ปี ที่ยังสามารถวิ่งตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ โดยมีประชากรจำนวน 6 แสนคนถือครองที่ดินโดยรวม 40 ล้านไร่ และมีแนวโน้มจะขยายตัวเพิ่มขึ้น
“ในขณะที่เกษตรพอเพียงเพื่อยังชีพ โดยคนส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่ยากจน จากผลสำรวจปี 2552 พบว่าเกษตรกรในภาคอีสานกว่า 80% มีรายได้หลักจากงานนอกภาคการเกษตร ซึ่งรัฐควรเข้าไปช่วยเหลือด้านสวัสดิการทางสังคมมากกว่าการกระจายที่ดิน”
ผศ.ดร.อภิชาติ กล่าวอีกว่า โดยส่วนตัวยังเห็นด้วยกับนโยบายการกระจายที่ดินของ คปร. แต่ยังมีข้อสงสัยบางประการเช่น ทำไมการจำกัดหรือเปิดเผยข้อมูลการถือครองที่ดิน ระบุเพียงเฉพาะภาคการเกษตร เพราะปัจจุบันยังมีนักการเมือง นักธุรกิจจำนวนมากที่มีที่ดินอยู่ ขณะเดียวกันหากเศรษฐกิจผันผวน พื้นที่การเกษตรมีมูลค่าสูงขึ้น จนไม่เหมาะสมกับการทำเกษตรจะเข้าไปแก้ไขอย่างไร
“การจำกัดการถือครองที่ดินต้องไม่ลืมว่า พืชแต่ละชนิดมีความต้องการขนาดพื้นที่แตกต่างกัน อย่างปาล์มอาจต้องการขนาดพื้นที่ใหญ่ เพื่อให้เพียงพอต่อการแข่งขันกับตลาดเศรษฐกิจ ซึ่งหากจำกัดตัวเลขการถือครองที่ดิน 50 ไร่อาจทำให้คนเหล่านี้ไหลออกนอกระบบ และประสิทธิภาพของการปลูกพืชเหล่านี้จะลดลง”
ผศ.ดร.อภิชาติ กล่าวถึงทางออกที่มีผลกระทบน้อยกว่า คือ ภาษีสินทรัพย์ในอัตราก้าวหน้า โดยคิดตามมูลค่าของการถือครองที่ดิน เพราะพื้นที่ 5 ไร่ในเขตเมืองอาจมีมูลค่ามากกว่าที่ดิน 100 ไร่ในชนบท เรื่องเหล่านี้รัฐบาลพูดกันมานานแต่ยังไม่เคยเกิดขึ้น ทั้งที่เป็นประโยชน์ต่อนโยบายการกระจายที่ดินอย่างมหาศาล ขณะเดียวกันภาษีมรดก แม้จะมีรายรับไม่มาก แต่จะเป็นสิ่งที่เข้ามาช่วยให้เกิดการกระจายได้มากขึ้น เพราะทำให้ต้นทุนการถือครองสูงขึ้น
“ขณะเดียวกันนักเก็งกำไรมักเข้าไปซื้อที่ดินดักทางก่อนที่จะมีระบบสาธารณูปโภค โดยกลุ่มคนเหล่านี้ได้กำไรมหาศาลหลังจากที่ที่ดินเหล่านี้มีถนนหนทางอย่างสมบูรณ์ ซึ่งภาครัฐควรมีมาตรการทางภาษีจากกำไรส่วนต่างการซื้อขาย (Capital Gain) เข้าไปกำกับดูแล จะช่วยทำให้แก้ไขปัญหาการปฏิรูปที่ดินได้เช่นกัน”
จี้รัฐปลดล็อคคดีที่ดิน
ขณะที่ นางสาวพงษ์ทิพย์ กล่าวว่า ก่อนที่จะพูดถึงการปฏิรูปที่ดิน สังคมต้องยอมรับก่อนว่า การละเมิดสิทธิชุมชนมีอยู่จริง และต้องแก้ไขปมเกลียวตรงนี้ให้สำเร็จ โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลพยายามผลักดันหลายประเด็นสำคัญให้เป็นนโยบาย แต่ยังมีอุปสรรคค่อนข้างมาก เช่น กรณีพื้นที่นำร่องโฉนดชุมชนที่พึ่งส่งมอบได้เพียง 2 พื้นที่ ในขณะที่อีก 33 ชุมชนยังต้องเผชิญกับคดีความ ซึ่งการปฏิรูปที่ดินและจับกุมชาวบ้านไปพร้อมกันนั้น ค่อนข้างจะไม่เป็นธรรมกับสังคม ฉะนั้นต้องเริ่มต้นด้วยการปลดล็อคคดีความเหล่านี้เสียก่อน
นางสาวพงษ์ทิพย์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลต้องกล้าที่จะผลักดันนโยบายภาษีอัตราก้าวหน้า การกระจายการถือครองที่ดิน และกระจายอำนาจการปกครองลงสู่ท้องถิ่นให้เกิดขึ้น ไม่เช่นนั้นคงเข้าไปแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างได้อย่างลำบาก ด้านพลังทางสังคมต้องเข้าไปช่วยกันกดดัน สร้างอำนาจต่อรองให้กับประชาชน รวมถึงสถาบันทางวิชาการควรทำงานวิจัยออกมานำเสนอ เพื่อให้ชนชั้นกลางเข้าใจปัญหาเหล่านี้ได้มากขึ้น
“รัฐใช้งบประมาณในการสร้างรถไฟฟ้ากว่า 3 หมื่นล้านบาท หากนำเงินเหล่านี้มาช่วยเหลือคนจน จะเป็นคุณูปการแก่สังคมไทยเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันเรื่องของธนาคารที่ดินที่ภาครัฐได้จัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจขึ้นมานั้น ควรเปิดกลไกให้ประชาชนเข้าไปทำงานร่วมกัน เพื่อแสดงความคิดเห็นในภาคประชาสังคม”
‘สาทิตย์’ เผย กม.ที่ดิน รอคลอดสมัยหน้า
ด้าน นายสาทิตย์ กล่าวว่า ข้อมูลจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมชี้ว่า เนื้อที่โดยรวมของประเทศ 320 ล้านไร่ มีผู้เข้าไปบุกรุกพื้นที่ป่าถึง 6.4 ล้านไร่ โดยประชากร 450,000 ราย ด้านอุทยานแห่งชาติมีคนเข้าไปอยู่ 2.2 ล้านไร่ คิดเป็นจำนนวน 185,000 ราย ขณะที่ราชพัสดุมีผู้บุกรุกเนื้อที่ 2.1 ล้านไร่ โดยประชาชน 160,000 ราย และที่สาธารณะถูกคนจับจองพื้นที่ 1.1 ล้านไร่ ซึ่งรวมแล้วประมาณ 10 ล้านไร่จากทั้งหมดทั่วประเทศ
ส่วนนโยบายที่เป็นรูปธรรมของรัฐบาลที่ผ่านมา นายสาทิตย์ กล่าวว่า คือ โฉนดชุมชน ซึ่งส่งผลกระทบถึงคนทั่วประเทศกว่า 140,000 ราย บนเนื้อที่ 850,000 ไร่ ปัญหาที่มีอยู่จริง คือ กฏหมายไม่รองรับกรรมสิทธิ์ร่วมในรูปแบบโฉนดชุมชน เช่น กรมธนารักษ์กำหนดให้ชาวบ้านต้องทำสัญญาเช่าเป็นรายบุคคล หรือกรมที่ดินเรียกค่าสัมปทานเป็นรายปี สิ่งเหล่านี้คืออุปสรรคที่ต้องเข้าไปแก้ในกฏกระทรวง เพื่อยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้กับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีนำไปจัดสรรตามโครงการโฉนดชุมชน
ด้านนโยบายธนาคารที่ดิน นายสาทิตย์ กล่าวว่า ขณะนี้ในส่วนพระราชกฤษฏีกาได้เสร็จสิ้นแล้ว จะประกาศใช้ในราชกิจจานุกเบกษาภายในสัปดาห์หน้า พร้อมจัดตั้งคณะกรรมการชั่วคราว มีหน้าที่ทำฐานข้อมูลที่ดินของรัฐที่ไม่มีผู้ใช้ประโยชน์, ขึ้นทะเบียนคนไร้ที่ดิน และพิสูจน์ความยากจนในที่ทำกิน พร้อมจัดสรรให้คนเหล่านั้นในรูปแบบโฉนดชุมชน ในขณะที่เงินกองทุน 167 ล้านบาทในการซื้อที่ดินลำพูน และเชียงนั้นใหม่ คณะรัฐมนตรีก็ได้มีมติเห็นชอบ โดยหลังจากนี้จะใช้เงินจากรายได้ภาษีที่ดินทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้างส่วนหนึ่ง ในการซื้อที่ดินเพื่อมาจัดสรรให้แก่ประชาชน
“ส่วน พ.ร.บ.การจัดการที่ดินสงวนหวงห้ามของรัฐ มีหน้าที่ทำแผนการใช้ที่ดินสงวนหวงห้ามใหม่ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ ตามที่รัฐบาลเห็นชอบในรูปแบบโฉนดชุมชน ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของวุฒิสภา คาดว่าจะประกาศใช้ภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า”
ในส่วนของภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง นายสาทิตย์ กล่าวว่า อยู่ในขั้นตอนของกฤษฏีกา ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าจะทันสมัยประชุมปัจจุบันหรือไม่ โดยส่วนตัวคาดว่ามีแนวโน้มจะเสร็จไม่ทัน และต้องรอให้รัฐบาลสมัยหน้ามาดำเนินการต่อ ด้านการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรมตามข้อเสนอของ คปร. คณะรัฐมนตรีได้มีมติขานรับประกาศคุ้มครองเป็นที่เรียบร้อย โดยใช้ชื่อเขตเศรษฐกิจพิเศษการเกษตร
“ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้หลักคิดที่ว่า เนื้อที่สามารถซื้อขายจำหน่ายจ่ายโอนในการทำเกษตรได้เพียงอย่างเดียว ซึ่งเกษตรกรต้องยินยอมพร้อมใจที่จะซื้อขาย และจัดรูปแบบสหกรณ์ด้วยชุมชนที่เข้มแข็ง ขณะเดียวกันภาครัฐจะลงไปพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว เพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น โดยจะนำร่องในบริเวณทุ่งกุลาร้องไห้บนเนื้อที่ 1.4 ล้านไร่ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันราคาที่ดินการเกษตรตกต่ำ”
ทั้งนี้ นายสาทิตย์ กล่าวถึงข้อเสนอแนวทางการปฏิรูปที่ดินของ คปร. ว่า ในเบื้องต้นคณะรัฐมนตรีได้มีคำถามกลับไปถึงกรณีนิติบุคคล ในขณะที่การใช้มาตรการภาษีเป็นตัวจำกัดการถือครองนั้นเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายเห็นด้วย ด้านการเปิดเผยข้อมูลการถือครองที่ดินภาคการเกษตรนั้น ก็ได้สั่งการให้กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมที่ดินจัดทำระบบร่วมกันในการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว
“ยังมีหลายเสียงวิพากาษ์วิจารณ์เรื่องการผลักดันภาษีทีดินและสิ่งปลูกสร้างในอัตราก้าวหน้า ถึงประเด็นเรื่องนักการเมืองจะไม่เห็นด้วย เนื่องจากเป็นกลุ่มผู้ถือครองขนาดใหญ่ ซึ่งข้อเท็จจริงประการหนึ่งก็คือ นักการเมืองหลายท่านในพรรคประชาธิปัตย์ไม่ขัดข้องเรื่องนี้ แม้แต่ผู้ที่ถือครองมากที่สุดอย่าง ส.ส. กทม. ก็เห็นด้วยกับแนวทางนี้เช่นกัน แต่คำถามคือวิธีคิดเหล่านี้จะทำอย่างไรให้เป็นธรรมกับพวกเขาเช่นกัน”
ด้านการช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกคดีความเรื่องที่ดิน นายสาทิตย์ กล่าวว่า ขณะนี้ได้แบ่งกลุ่มชาวบ้านเป็น 3 กลุ่มคือ 1.คดีของชาวบ้านที่ยังอยู่ในชั้นสอบสวน 2.คดีอยู่ขั้นตอนการพิจารณา และ 3.ในส่วนชั้นบังคับคดีที่ถือว่าเป็นกรณีที่วิกฤติที่สุด ซึ่งคณะรัฐมนตรีจะเริ่มหารือกันในสัปดาห์หน้า โดยในเบื้องต้นกระทรวงยุติธรรมได้เสนอแนวทางให้พิจารณาเป็นรายกรณี ว่าเป็นเกษตรยากจน จงใจบุกรุกพื้นที่เพื่อยังชีพจริงหรือไม่ หากกรณีที่หน่วยงานราชการเป็นโจทย์ยื่นฟ้องก็ต้องหารือถึงช่องทางการบรรเทาคดี เป็นต้น