ดร.จรัส เปิดแนวคิดจังหวัดจัดการตนเอง ภายใต้อธิปไตยของรัฐ
โชว์ข้อดีจังหวัดจัดการตนเอง ทำเรื่องใหญ่ๆ ได้ ลดปัญหาทำงานซ้ำซ้อน ประหยัดงบฯ แนะคนไทยเลิกเพิ่งการเมืองระดับชาติ เหตุทุกพรรคมีนโยบายเดียวกันเหมือนกันทั้งประเทศ ดังนั้นต้องมีแนวคิดปกครองตนเองระดับพื้นที่
วันที่ 12 มีนาคม ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงการกระจายอำนาจว่าด้วยข้อเสนอจังหวัดจัดการตนเอง ในเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการ "แนวคิด ยุทศาสตร์ การกระจายอำนาจให้จังหวัดจัดการตนเองภายใต้สถานการณ์ปฏิรูปประเทศไทย" ณ โรงแรมที.เค.พาเลซ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ที่จัดโดยสภาพัฒนาการเมือง ร่วมกับสำนักงานปฏิรูป
ศ.ดร.จรัส กล่าวว่า จังหวัดจัดการตนเอง (self-governing province) ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2499 โดยสมัยนั้นมีนักวิชาการกลุ่มหนึ่งจบการศึกษาจากสหรัฐอเมริกา และกลับมาเขียนกฎหมายหลายฉบับ กฎหมายที่สำคัญ คือ กฎหมายเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจ กฎหมายการจัดตั้งสำนักงบประมาณ โดยนักวิชาการกลุ่มนี้ปฏิรูประบบงบประมาณประเทศ นำงบฯ ของกระทรวง ทบวง กรมที่ไปจ่ายให้จังหวัด ลงไปให้จังหวัด และให้มีงบประมาณของตนเอง
“ปีนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจบริหารจังหวัดอย่างเต็มรูป โดยข้าราชการ อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของผู้ว่าฯ ซึ่งถือได้ว่า พ.ศ. 2499 มีจังหวัดจัดการตนเอง เป็นการกระจายอำนาจด้านการบริหารอย่างสมบูรณ์แบบมาก แต่ก็เป็นแค่ปีเดียวที่ได้ใช้งบประมาณแบบนี้ หลังจากนั้นทุกอย่างกลับสู่ที่เดิม ทุกกระทรวงทบวง กรมไม่เอาระบบนี้ เกิดการประท้วง และกลับมาใช้อย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้”
ศ.ดร.จรัส กล่าวว่า ผ่านมากว่า 53 ปี การมาพูดถึงจังหวัดจัดการตนเอง จึงไม่ได้เป็นเรื่องก้าวหน้า แถมยังถอยหลังไปพูดเรื่องเดิม ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่น่าจะทำตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำ
“การปฏิรูปประเทศไทยมุ่งสู่การกระจายอำนาจเพิ่มขึ้น โจทย์อยู่ที่พื้นที่ไม่ใช่ส่วนกลาง ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า การผลักดันเรื่องการกระจายอำนาจกระจาย ก้าวมาได้ไกลพอสมควร แต่ผมมองเห็นว่า การกระจายอำนาจภายใต้โครงสร้างเดิม ใกล้ถึงทางตันแล้ว”อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าว และว่า ที่บอกว่า ถึงทางตัน เพราะเรามีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดเล็ก มีเทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เมื่อเราถ่ายโอนภารกิจ ลงไปได้ ก็ทำได้พื้นที่เล็ก แต่พอถ่ายโอนภารกิจขนาดใหญ่ จะทำไม่ได้ เพราะใหญ่เกินตัว
อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงการกระจายอำนาจมาตั้งแต่ปี 2540 – 2553 ว่า ถือว่า ทำไปได้เยอะมาก แต่มักจะได้ของเล็กไปลงพื้นที่ ซึ่งพอทำเรื่องใหญ่ส่วนกลางจะบอกว่า ท้องถิ่นทำไม่ได้ เช่น เรื่องการศึกษา สาธารณสุข เป็นต้น ขณะเดียวกันท้องถิ่นก็ไม่อยากได้ ทำไม่ไหว นี่คือทางต้นที่เกิดขึ้น
“ท้องถิ่นจำเป็นต้องจัดการเรื่องใหญ่กว่า เรื่องเก็บขยะ เช่น เรื่องทรัพยากรธรรมชาติ การศึกษา สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม ซึ่งท้องถิ่นขนาดปัจจุบันทำไม่ได้ จึงเป็นที่มาของแนวคิดท้องถิ่นระดับจังหวัด บ้างก็บอกว่า มีองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) แล้วทำไมต้องมีท้องถิ่นระดับจังหวัดอีก”
ศ.ดร.จรัส กล่าวถึงข้อจำกัดของ อบจ.ว่า ใหญ่แต่เปลือก เปรียบก็เหมือนตุ่มที่ให้ใส่น้ำนิดเดียว มีพื้นที่ระดับจังหวัด แต่มีความสามารถจำกัด มีงบประมาณ 100 -600 ล้านบาท อีกทั้งถูกจำกัดอำนาจหน้าที่เอาไว้ เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกับภูมิภาค และท้องถิ่นระดับล่าง ขณะเดียวกัน หน่วยงานราชการส่วนภูมิภาค แม้จะมีความสามารถเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้แก้ปัญหา เพราะงบฯ ส่วนใหญ่หมดไปกับเงินเดือน ค่าน้ำ ค่าไฟ ฯลฯ
ส่วนมุมมองจังหวัดจัดการตนเอง ศ.ดร.จรัส กล่าวว่า เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับจังหวัด รวม (Merging) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับ อบจ.รวมกับหน่วยงานราชการในภูมิภาคของจังหวัด ให้เป็นองค์กรเดียวกัน ภายใต้การจัดการเดียวกัน มีอำนาจหน้าที่บริหารจัดการในพื้นที่ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ทั้งนี้ จังหวัดจัดการตนเอง ต้องปรับใหม่ จัดตั้งใหม่ มีโครงสร้างทางการเมืองการบริหารใหม่ มีระบบการบริหารงานบุคคล ระบบการเงินการคลัง งบประมาณใหม่ด้วย
“ ข้อดี คือ จังหวัดสามารถทำเรื่องใหญ่ๆ ได้ โดยจังหวัดจัดการตนเองตั้งอยู่บนพื้นฐานการปกครองตนเอง แก้ปัญหาความซ้ำซ้อน ความสิ้นเปลือง และสามารถเป็นกลไกขับเคลื่อนทำงานร่วมกับภาคประชาสังคมได้ “ ศ.ดร.จรัส กล่าว และว่า นโยบายพรรคการเมืองทุกพรรค มีนโยบายเดียวกันทั้งประเทศ โดยไม่ได้บอกเชียงใหม่ จะต่างจากนครศรีธรรมราช หรือสงขลาอย่างไร ดังนั้นอย่างหวังการเมืองระดับชาติจะแก้ปัญหาให้จังหวัดได้ จึงต้องมีแนวคิดการปกครองตนเองระดับพื้นที่
อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวด้วยว่า เราจะไม่ทำให้จังหวัดจัดการตนเองเป็นประเทศเอกราช ดังนั้นจังหวัดจัดการตนเอง ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายที่รัฐบาลกลางจัดตั้งขึ้น ภายใต้อธิปไตยของรัฐ และเป็นหน่วยงานของรัฐตามกฎหมาย