8 หน่วยงาน ลงนามบันทึกข้อตกลง ขับเคลื่อนโฉนดชุมชน
นายกฯ เผยขณะนี้มีเกือบ 200 ชุมชน ยื่นเรื่องขอออกโฉนดชุมชน เชื่อดำเนินการในพื้นที่เหล่านี้ได้ จะช่วย ปชช.ได้มากกว่าแสนคน
วันที่ 9 มีนาคม เวลา 08.49 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานสักขีพยานพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเพื่อดำเนินงานโฉนดชุมชน ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ. 2553 ระหว่าง 8 หน่วยงาน ซึ่งมีผู้บริหารระดับปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้องร่วมลงนาม โดยมีรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ ประชาชนที่มีส่วนร่วมในเรื่องโฉนดชุมชน ตลอดจนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมเป็นสักขีพยาน จัดโดยสำนักงานโฉนดชุมชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน กล่าวว่า การลงนามในวันนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะสร้างความร่วมมือกันในเรื่องการดำเนินงานตามแนวนโยบายโฉนดชุมชน ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ประกาศเอาไว้ในคราวที่เข้าบริหารราชการแผ่นดิน และได้ออกเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนมิถุนายน 2553 โดยขณะนี้มีชุมชนที่แสดงความจำนงขอออกโฉนดชุมชนทั้งสิ้น 190 ชุมชนครอบคลุมพื้นที่กว่า 790,000 ไร่ ครอบคลุมเกษตรกรมากกว่า 140,000 คน และมีแนวโน้มว่าจะมีการขอออกโฉนดชุมชนเพิ่มมากขึ้นตลอดระยะเวลาที่มีการดำเนินการออกนโยบายโฉนดชุมชนนี้
“ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่จะลงนาม เพื่อที่จะสร้างกลไกความร่วมมือในการทำงานร่วมกัน ระหว่างหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นการระงับหรือชะลอข้อพิพาทระหว่างประชาชน ซึ่งอยู่ในพื้นที่กับหน่วยงานของรัฐ การดำเนินการในการที่จะแก้ไขกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อเอื้ออำนวยให้การดำเนินการออกโฉนดชุมชนสามารถที่จะดำเนินการไปได้ และเป็นการอำนวยความสะดวกในเรื่องข้อมูลของการปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานร่วมกับทางสำนักงานโฉนดชุมชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี”
จากนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการขับเคลื่อนนโยบายในเรื่องของโฉนดชุมชน เพื่อที่จะให้การดำเนินงานด้านนโยบายโฉนดชุมชนตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี สามารถที่จะดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น โดยนโยบายเรื่องโฉนดชุมชนมีความสำคัญมาก เพราะเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาทั้งในเรื่องความขัดแย้งและที่ทำกินในรูปแบบใหม่ ซึ่งรัฐบาลได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีหลักคิดที่จะให้ประชาชนในชุมชนสามารถที่จะรวมตัวกันจัดระบบการบริหารจัดการ และสามารถที่จะเข้ามามีกรรมสิทธิ์ในฐานะของชุมชน เพื่อที่จะได้ดูแลว่าที่ดินที่ได้มีการมอบกรรมสิทธิ์ให้แก่ชุมชนนั้น นำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ ไม่ถูกยักย้ายถ่ายเท โอนเปลี่ยนมือไป ซึ่งนอกเหนือจากจะเป็นการสร้างหลักประกันความมั่นคงให้แก่ประชาชนและชุมชนแล้ว ยังเป็นการดูแลรักษาพื้นที่ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการใช้ที่ดิน
" ผมมีโอกาสมอบโฉนดชุมชนใบแรกที่คลองโยงก็เห็นได้ชัดว่า นอกเหนือจากเป็นเรื่องของการสร้างความมั่นใจให้แก่พี่น้องซึ่งบางครอบครัวอยู่มาหลายชั่วคนแล้ว ก็ยังเป็นหลักประกันในเรื่องที่จะทำให้พื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ที่สามารถดำรงไว้ในเรื่องของการใช้เพื่อการเกษตร ไม่ถูกนำไปเปลี่ยนเป็นบ้านจัดสรร โรงงาน ถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ และขณะนี้จะได้รับการส่งเสริมสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง หลังจากมีการออกโฉนดชุมชนให้สามารถที่จะนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีอีกเกือบ 200 ชุมชนที่ได้ยื่นเรื่องเข้ามา ซึ่งถ้าหากเราสามารถดำเนินการในพื้นที่เหล่านี้ได้ จะช่วยประชาชนได้มากกว่า 100,000 คน ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับประชาชนและเกษตรกรต่อไป อย่างไรก็ตาม ทราบดีว่าการทำงานในเรื่องโฉนดชุมชนยังมีปัญหาอุปสรรคเรื่องกฎหมาย กฎระเบียบของแต่ละหน่วยงาน ที่อาจจะทำให้เกิดความไม่มั่นใจ แต่ด้วยนโยบายที่มีความชัดเจน และรัฐบาลนี้ยึดถือเรื่องของระบบนิติรัฐ ที่ให้ความมั่นใจว่าการดำเนินการทุกอย่างจะต้องมีฐานทางกฎหมายที่รองรับ แต่หน่วยงานก็ต้องมาแลกเปลี่ยนร่วมมือกัน พบปัญหาอุปสรรคใด ๆ จะได้มาหาทางออกร่วมกันที่เป็นไปตามแนวทางที่สอดคล้องกับกฎหมายและนโยบาย
สำหรับพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเพื่อดำเนินงานโฉนดชุมชน ระหว่างผู้บริหารจาก 8 หน่วยงาน ประกอบด้วย นางเบญจา หลุยเจริญ รองปลัดกระทรวงการคลัง นายวิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวงมหาดไทย นางศิริรัตน์ อายุวัฒน์ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายเฉลิมพร พิรุณสาร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุรงค์ ปัญญาดิลก ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายชาตินัย เนาวภูติ รองปลัดกรุงเทพมหานคร