“นิธิ” ฉะแม่น้ำไม่ใช่ท่อพีวีซี เปิดเขื่อนปากมูล แล้วน้ำจะแห้งขอด
ศ.นิธิ โทษกระบวนการตัดสินใจด้านนโยบายสาธารณะ ที่มีการจัดช่วงชั้นของสังคมไว้อย่างแน่นหนา บีบบังคับให้กลายเป็นเรื่องยาก นักการเมืองไม่กล้าตัดสินใจเปิดเขื่อน ฟันธงเลื่อนออกไปอีกแน่นอน เหตุใกล้เลือกตั้ง
วันที่ 4 มีนาคม ศูนย์ศึกษาพัฒนาสังคม คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับกองทุนเพื่อสืบสานเจตนารมณ์ วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ เปิดเวทีสัมมนาสาธารณะ เรื่อง “เปิดเขื่อนปากมูล น้ำแห้งจริงหรือ?? การปะทะที่ท้าทาย ระหว่างความรู้ทางวิชาการกับการเมือง และผลประโยชน์ของนักสร้างเขื่อน” ณ ห้องมาลัยหุวนันท์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัย โดยศ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ กรรมการปฏิรูป กล่าวถึงนโยบายสาธารณะของประเทศไทยขนาดใหญ่ เช่น การสร้างเขื่อน โรงไฟฟ้า นั้น ประชาชนระดับล่างจะไม่เคยเข้ามามีส่วนร่วมในการจะบอกว่า ควรสร้างได้หรือสร้างไม่ได้ โดยเห็นได้จาก กรณีเขื่อนปากมูล ถือเป็นกรณีแรกๆ ในสังคมไทยที่ประชาชนระดับล่าง รวมตัวลุกขึ้นมาเพื่อบอกต่อสาธารณะชนว่า อย่าสร้างเขื่อนปากมูล
กรรมการปฏิรูป กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของประชาชนระดับล่างในการเข้ามามีส่วนร่วมกับนโยบายสาธารณะ ภาพที่ชาวบ้านไปนั่งที่ก้นแม่น้ำ และท้าให้ระเบิดหินไปพร้อมกันเช่นนี้ เป็นเรื่องเดียวกันกับ "เสื้อแดง" ที่ราชประสงค์ คืออยากบอกว่า ยุบสภา แต่ก็ต้องถามว่า การยุบสภาเป็นเกม หรือเป็นเครื่องมือการเล่นเกมทางการเมืองของคนระดับหนึ่งใช่หรือไม่
“กรณีเขื่อนปากมูลการเคลื่อนไหวของคนระดับล่างในการเข้ามามีส่วนในนโยบายสาธารณะ เกิดก่อนเสื้อแดง นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ”
สำหรับในทางการเมืองที่ยังตัดสินใจตามข้อเรียกร้องไม่ได้นั้น ศ.นิธิ กล่าวว่า ข้อถกเถียงเรื่องความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าแทบไม่มีแล้ว ทุกคนยอมรับว่า ไม่ใช่เรื่องสำคัญ โดยสรุปของคณะอนุกรรมการที่ไปศึกษาเสนอรัฐให้เปิดเขื่อนถาวร แต่ก็มาเกิดข้อถกเถียงใหม่ เปิดเขื่อนน้ำจะแห้ง
“ เปิดเขื่อน น้ำจะแห้งนั้น แม่น้ำไม่ใช่ท่อพีวีซี มันมีความลาดชัน มีแก้มลิงธรรมชาติ ที่เป็นการกักเก็บน้ำเยอะมาก ไม่เหมือนการเทน้ำรวดเดียวผ่านท่อ ซึ่งข้ออ้างเหล่านี้เกิดขึ้น เพราะมีการเมืองท้องถิ่น ที่สามารถตั้งเครือข่ายหัวคะแนน ความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองกับเครือข่ายหัวคะแนน คือกลไกสำคัญ อีกทั้งเครือข่ายหัวคะแนน คือผู้ตัดสินใจเชิงนโยบายให้กับ ส.ส. ดังนั้นเรื่องเขื่อนปากมูล จะต้องไปดูเครือข่ายหัวคะแนน ใครได้หรือเสียกับเรื่องนี้หรือไม่"
ศ.นิธิ กล่าวถึงประชาธิปไตยไทยคือ การปกครองของหัวคะแนน โดยหัวคะแนน เพื่อหัวคะแนน ส.ส.เป็นเพียงตัวแทนหัวคะแนนส่งมา เพื่อตัดสินใจ ซึ่งเป็นการเมืองระดับท้องถิ่นที่กระทบต่อนโยบายสาธารณะค่อนข้างสูง โดยหัวคะแนนเหล่านี้ไม่ได้คิดถึงเรื่องความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้า แต่จะคิดเพียงว่า ให้ได้ค่านายหน้า
สำหรับกระบวนการตัดสินใจด้านนโยบายสาธารณะ ศ.นิธิ กล่าวว่า มีการจัดช่วงชั้นของสังคมไว้อย่างแน่นหนา หมายความว่า มีข้าราชการ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในรัฐวิสาหกิจ เขามีสิทธิในการตัดสินใจมากกว่าคนอื่น ซึ่งที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า สังคมไทยลึกๆ มีความเชื่อคนไม่เท่ากัน มีคนบางคนมีความรู้ ความดีมากกว่า ที่มีอำนาจตัดสินใจเหนือคนอื่น ดังนั้นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะจะอ้างว่าเก่ง ดี เสมอ เพื่อจะยึดอำนาจการตัดสินใจเอาไว้ แม้แต่นักการเมือง ก็จะไม่กล้าตัดสินใจ หรือไปขวางกลุ่มคนราชการ รัฐวิสาหกิจอย่างออกหน้าจนเกินไป รวมทั้งนักการเมืองที่กุมเสียงส่วนใหญ่ในสภาฯ ได้สูงมากในอดีต ก็ยังแก้ปัญหาแบบประนีประนอม เพื่อให้ทุกฝ่ายพอใจ คือเปิดเขื่อน 4 เดือน ปิดเขื่อน 8 เดือน
ศ.นิธิ กล่าวว่า กระบวนการและช่วงชั้นการตัดสินใจ กลายเป็นบีบบังคับและยากมากในการเปิดเขื่อนปากมูล ทั้งๆที่เขื่อนหมดสภาพไปนานแล้ว ไม่ว่าจะมาเถียงกันด้วยเหตุผลอะไร ก็แล้วแต่ โดยไม่มีประโยชน์อะไรเหลืออยู่ แต่ที่ทำไมไม่มีใครกล้าตัดสินใจ เหตุผลลึกๆ ก็คือ วัฒนธรรมและสังคมของเราเองที่บีบบังคับนักการเมืองไม่กล้าตัดสินใจ ทั้งนี้จึงเชื่อว่า จะมีการเลื่อนการตัดสินใจออกไปอีกแน่นอน เพราะใกล้เลือกตั้งแล้ว
ขณะที่นางสมปอง เวียงจันทร์ แกนนำชาวบ้านเขื่อนปากมูล ในฐานะกรรมการปฏิรูป กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้เชื่อข้อมูลทางวิชาการมาก ดังนั้นชาวบ้านจึงนำงานวิชาการออกมาให้ดูหมดแล้ว ซึ่งก็จะรอดูว่า วันที่ 8 มีนาคมนี้ รัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไร กรณีเขื่อนปากมูล
“ชาวบ้านเขื่อนปากมูล ไม่ได้มีอะไรแอบแฝง มีแต่ความเดือดร้อนและภัยคุกคาม อย่านำคนอื่นที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือเอาคนกรุงเทพฯ มาตัดสินใจการเปิด-ปิดเขื่อนปากมูล” นางสมปอง กล่าว และว่า ชาวบ้านได้ทุกอย่างขอให้ยอมเปิดเขื่อนทดลอง 5 ปีก่อน เพื่อนำสู่การเปิดถาวรในวันข้างหน้า และจะเยียวยาชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบกว่า 20 ปี ครอบครัว 3.5 แสนบาท ซึ่งหากยังคาราคาซังแบบนี้ ต่อไปสังคมไทยจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าประเทศไทยหรือรัฐบาลยังมองปัญหาคนจนไม่ถึงรากถึงแก่น หรือรู้แล้วแต่ไม่ทำ